คำแนะนำผู้นิพนธ์

          หนังสือส่งบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่             หนังสือส่งบทความเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่

          คำแนะนำผู้นิพนธ์บทความ (PDF)                     รูปแบบการเขียนบทความวิจัย (Word) (PDF)

          รูปแบบการเขียนบทความวิชาการ (Word) (PDF)  

 
 
สถานที่ติดต่อเกี่ยวกับบทความ
        วารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 63 หมู่ 4 ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ 50290 โทรศัพท์ 0 5387 5265
Email: maejojournal.s@gmail.com
Website: https://maejopoll.mju.ac.th/home.aspx
         1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล   บรรณาธิการ 
         2. รองศาสตราจารย์ ดร.รภัสสรณ์ คงธนจารุอนันต์      ผู้ช่วยบรรณาธิการ
 
การส่งบทความ
         บทความที่จะตีพิมพ์ในวารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ต้องส่งผ่านระบบลงทะเบียนออนไลน์ Website: https://sso.tci-thaijo.org/auth/realms/thaijo/login-actions/registration และรอการตรวจสอบจากกองบรรณาธิการ
การตรวจสอบบทความและพิสูจน์อักษร
         ผู้นิพนธ์ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมบทความให้สอดคล้องกับรูปแบบและข้อกำหนดของวารสารอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา รวมถึงพิสูจน์อักษรอย่างรอบคอบก่อนส่งให้บรรณาธิการ การจัดเตรียมบทความอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้นไม่เพียงช่วยให้กระบวนการพิจารณาตีพิมพ์ดำเนินไปอย่างราบรื่นและรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพของผู้นิพนธ์อีกด้วย ทั้งนี้ กองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาบทความเฉพาะฉบับที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของวารสารอย่างครบถ้วน
การพิจารณาและคัดเลือกบทความ
         ทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาอย่างเข้มข้นจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 ท่าน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยมาจากสถาบันที่หลากหลายและไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้เขียนบทความ กระบวนการพิจารณานี้เป็นไปตามหลัก Double-blind Peer Review ซึ่งหมายความว่าผู้พิจารณาและผู้เขียนจะไม่ทราบชื่อหรือข้อมูลของกันและกัน ทั้งนี้ บทความทุกชิ้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนเผยแพร่ เพื่อให้มั่นใจถึงคุณภาพและมาตรฐานทางวิชาการ
การเตรียมบทความ
         บทความต้องเป็นตัวพิมพ์ดีด โดยใช้ชุดแบบอักษร (font) ชนิดไทยสารบรรณ (TH SarabunPSK) ขนาดอักษร 16 จัดกั้นหลังตรง และมีระยะห่างระหว่างบรรทัดหนึ่งช่อง (Single Spacing) ตลอดเอกสาร พิมพ์หน้าเดียวลงบนกระดาษ (A4) พิมพ์ให้ห่างจากขอบกระดาษ ด้านซ้าย และด้านขวา ขนาด 3.81ซม. ด้านบน ขนาด 4.5 ซม. และด้านล่าง ขนาด 4.01 ซม. พร้อมใส่หมายเลขหน้ากำกับทางมุมขวาบนทุกหน้า บทความไม่ควรยาวเกิน 20 หน้ากระดาษพิมพ์ (A4) โดยนับรวมภาพประกอบและตาราง ดังนี้
1. ส่วนประเภทของบทความที่ลงตีพิมพ์ในวารสาร
         วารสารเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ตีพิมพ์บทความประเภทต่างๆ ดังนี้
             1.1 บทความวิจัย (Research Article) ได้แก่ ผลการวิจัยที่นำเสนอองค์ความรู้ใหม่ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ ซึ่งไม่เคยเผยแพร่ในวารสารวิชาการใดมาก่อน
             1.2 บทความทางวิชาการ (Academic Article) ที่นำเสนอเนื้อหาสาระทางวิชาการอย่างลึกซึ้ง พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีคุณค่า
2. ส่วนบทคัดย่อ (Abstract)
         บทคัดย่อควรมีความยาวไม่เกิน 350 คำ และต้องแยกจากเนื้อเรื่องหลักอย่างชัดเจน สำหรับบทความวิจัยหรือบทความทางวิชาการ จำเป็นต้องมีบทคัดย่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเนื้อหาของบทคัดย่อควรสรุปสาระสำคัญของบทความได้ครบถ้วน ชัดเจน และกระชับ โดยไม่ต้องมีการอ้างอิงเอกสาร รูปภาพ หรือตาราง ทั้งนี้ บทคัดย่อควรประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลักเท่านั้น ได้แก่
         2.1 วัตถุประสงค์ ควรกล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการศึกษา
        2.2 วิธีศึกษา/ค้นคว้าวิจัย ควรระบุถึงวิธีการศึกษา เป็นการศึกษาประเภทใด และอธิบายถึง กลุ่มประชากร กลุ่มตัวอย่าง และจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่เก็บรวบรวมข้อมูล เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา วิธีรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล โดยอธิบายพอสังเขป
        2.3 ผลการศึกษา ควรประกอบด้วย ผลที่ได้รับจากการค้นคว้า ศึกษา ตามวัตถุประสงค์การศึกษาให้ครบถ้วน
        2.4 คำสำคัญ ควรมีคำสำคัญ 3 คำ ควรเป็นคำที่ปรากฏในชื่อเรื่องและเนื้อหาที่ศึกษา เพื่อใช้ในการสืบค้นบทความและควรเป็นคำที่ครอบคลุมชื่อเรื่องที่ศึกษา โดยจะต้องปรากฏอยู่ในส่วนท้ายของบทคัดย่อภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และคั่นด้วยเครื่องหมายอัฒภาค (Semicolon) (;)
3. ส่วนเนื้อเรื่อง ควรประกอบด้วย
         3.1 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียน บทความวิจัย ประกอบด้วย
            3.1.1 บทนำ (Introduction) เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษา (Review) ข้อมูลจากงานวิจัย หนังสือ และวารสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอเหตุผลและความสำคัญของปัญหาที่เป็นที่มาของการวิจัยครั้งนี้
            3.1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย (Research Objectives) คือหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางและเป้าหมายของการศึกษา โดยเป็นกรอบแนวทางที่ระบุสิ่งที่ต้องสำรวจ วิเคราะห์ และค้นหาคำตอบอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งกำหนดหลักการและวิธีการที่ใช้ เพื่อให้การสังเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอผลการวิจัยมีความชัดเจนและน่าเชื่อถือ
            3.1.3 วิธีดำเนินการวิจัย (Methods) คือแนวทางสำคัญที่กำหนดขั้นตอนและกระบวนการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การวางแผนกิจกรรม การกำหนดรายละเอียดของการศึกษา การเลือกประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ตลอดจนเครื่องมือวิจัยที่ใช้เก็บข้อมูล รวมถึงเทคนิคทางสถิติที่นำมาวิเคราะห์ผล เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อค้นพบที่น่าเชื่อถือและมีคุณค่า
            3.1.4 สรุปผลการวิจัย (Results) เป็นส่วนที่นำเสนอข้อค้นพบจากการศึกษาและการวิเคราะห์ในข้อ 3.1.2 โดยควรจัดกลุ่มผลลัพธ์อย่างเป็นระบบให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย นำเสนอข้อมูลอย่างชัดเจนผ่านการบรรยายที่กระชับและเข้าใจง่าย พร้อมเสริมรายละเอียดด้วยภาพประกอบ ตาราง กราฟ หรือแผนภูมิเพื่อเพิ่มความชัดเจนและช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจข้อมูลได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
            3.1.5 อภิปรายผลการวิจัย (Discussion) เป็นกระบวนการสำคัญที่เชื่อมโยงผลการวิเคราะห์ของผู้วิจัยเข้ากับองค์ความรู้ที่มีอยู่ โดยการเปรียบเทียบกับงานวิจัยก่อนหน้า เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น หรือสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ศึกษา นอกจากนี้ ยังเป็นเวทีในการพิจารณาข้อดีและข้อจำกัดของวิธีวิจัยที่ใช้ เสนอแนวคิดใหม่ๆ ตลอดจนสะท้อนปัญหาและอุปสรรคที่พบ ซึ่งสามารถเป็นแนวทางสำหรับการนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในอนาคต
            3.1.6 องค์ความรู้จากการวิจัย (Knowledge of Research) คือการสังเคราะห์ความรู้ใหม่ที่เกิดจากการศึกษาวิจัย โดยผ่านการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของตนกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาข้อค้นพบที่แตกต่างและไม่เคยปรากฏมาก่อน ข้อมูลเหล่านี้ถูกนำเสนอในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เช่น แผนภูมิ แผนภาพ ผังมโนทัศน์ หรือโมเดล พร้อมคำอธิบายกระบวนการ ขั้นตอน วิธีการ ตลอดจนคุณค่าและแนวทางการประยุกต์ใช้ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา ปรับปรุง หรือเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคล สังคม และองค์กร
            3.1.7 ข้อเสนอแนะ (Suggestion) การแนะแนวการนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป โดยสรุปเป็นข้อ ๆ ซึ่งมีหัวข้อดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 2. ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติการ 3. ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป
            3.1.8 เอกสารอ้างอิง (References) จะใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ APA (American Psychological Association) โดยการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลจะอยู่ในเครื่องหมายวงเล็บ ( ) ภายในเนื้อหา รูปแบบการอ้างอิงนี้ได้รับความนิยมและแพร่หลาย เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนและใช้งานได้ง่าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถระบุแหล่งที่มาของข้อมูลได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพในการศึกษาและการปฏิบัติ
        3.2 การเตรียมต้นฉบับสำหรับการเขียน บทความวิชาการ ประกอบด้วย
             3.2.1 บทนำ (Introduction) เป็นการเริ่มต้นการศึกษาโดยการทบทวนและวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงานวิจัย ความรู้เชิงลึก และหลักฐานต่างๆ ที่มาจากแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือ วารสาร และงานวิจัยที่มีความสำคัญ เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของปัญหาที่ศึกษาครั้งนี้ พร้อมทั้งเน้นย้ำเหตุผลที่ทำให้การศึกษาในครั้งนี้มีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาในด้านต่างๆ
             3.2.2 เนื้อหา (Content) คือเรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับรู้ การนำเสนอเนื้อหาที่ดีนั้นต้องมีความชัดเจน และมีรายละเอียดที่ดึงดูดความสนใจ โดยที่สิ่งเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนเป็นหลัก
             3.2.3 สรุป (Summarizing) คือ เทคนิคการเขียนที่ผู้เขียนต้องทำการคัดเลือกและปรับปรุงข้อมูลให้เหลือเพียงส่วนที่สำคัญที่สุด โดยกระบวนการนี้เป็นการกลั่นกรองและย่อความเพื่อให้เนื้อหาย่อยง่ายและตรงประเด็นที่สุด
             3.2.4 องค์ความรู้ใหม่ (New Knowledge) ที่ผู้นิพนธ์นำเสนอในรูปแบบแผนภูมิ, แผนภาพ, หรือโมเดล พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับกระบวนการ วิธีการ และขั้นตอนที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง โดยเน้นการสร้างคุณค่าและประโยชน์ที่มีผลกระทบต่อการส่งเสริม พัฒนา หรือเปลี่ยนแปลงบุคคล สังคม และองค์กร ผ่านแนวทางที่เป็นระบบและสามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
             3.2.5 เอกสารอ้างอิง (References) ใช้รูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาตามหลักเกณฑ์ของ APA (American Psychological Association) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายในการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล โดยการใส่ข้อมูลในเครื่องหมายวงเล็บ ( ) ภายในเนื้อหา วิธีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้การอ้างอิงมีความชัดเจนและเข้าใจง่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถระบุแหล่งที่มาของงานเขียนต่างๆ ได้อย่างสะดวกและถูกต้อง เหมาะสำหรับการศึกษาและการปฏิบัติในวงการวิชาการ
4. การอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา ตามหลักเกณฑ์ APA
         4.1 หนังสือ, บทความวารสาร, วิทยานิพนธ์/ดุษฎีนิพนธ์/สารนิพนธ์/รายงานการวิจัย, สื่ออิเล็กทรอนิกส์
              (ชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์) หรือ ชื่อผู้แต่ง (ปีพิมพ์)
         ผู้แต่งคนเดียว ผู้แต่งชาวไทยให้ระบุชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม และ ผู้แต่งชาวต่างประเทศ ให้ขึ้นต้นด้วยนามสกุล
             ตัวอย่างเช่น (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล, 2561) หรือ กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล (2561)
                             (Autchariyapanitkul, 2018) หรือ Autchariyapanitkul (2018)
         ผู้แต่ง 2 คน ให้ระบุชื่อและนามสกุลของผู้แต่งทั้ง 2 คน โดยใช้คำว่า “และ” สำหรับผู้แต่งชาวไทย หรือ “&” สำหรับผู้แต่งชาวต่างประเทศ ระหว่างคำให้เว้นระยะห่างด้านหน้าและด้านหลัง 1 เคาะ
             ตัวอย่างเช่น  (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล และ วินิจ ผาเจริญ, 2561)
                             กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล และ วินิจ ผาเจริญ (2561) หรือ
                             (Autchariyapanitkul & Pharcharuen, 2018) หรือ
                             Autchariyapanitkul & Pharcharuen (2018)
         ผู้แต่ง 3-5 คน ให้ระบุชื่อและนามสกุลของผู้แต่งครบทุกคน และให้คั่นด้วยเครื่องหมาย “,” จนถึงผู้แต่งคนสุดท้ายให้คั่นด้วย “และ” สำหรับผู้แต่งชาวไทย หรือ “&” สำหรับผู้แต่งชาวต่างประเทศ ระหว่างคำให้เว้นระยะห่างด้านหลัง 1 เคาะ
             ตัวอย่างเช่น (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล, วินิจ ผาเจริญ  และ สุรพล พรมกุล, 2558)
                             (Autchariyapanitkul, Pharcharuen, & Phromkun, 2015)
         ผู้แต่งมากกว่า 6 คนขึ้นไป ให้ระบุชื่อและนามสกุลของผู้แต่งคนแรก และตามด้วย “และคณะ” สำหรับผู้แต่งชาวไทย หรือ “et al.” สำหรับผู้แต่งชาวต่างประเทศ ระหว่างคำให้เว้นระยะห่างด้านหลัง 1 เคาะ
             ตัวอย่างเช่น (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล และคณะ, 2561) 
                             กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล และคณะ (2561)
                             (Autchariyapanitkul et al., 2018)
                             Autchariyapanitkul et al. (2018)
         กรณีที่เป็นการอ้างอิงข้อความ/เนื้อหาบางส่วน ให้ระบุเลขหน้าที่นำเนื้อหา/ ข้อมูลนั้นๆ มากล่าวถึง โดยมีรูปแบบการเขียนดังนี้
                             (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล, 2560, น. 45) หรือ 
                             (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล และ สุรพล พรมกุล, 2551, น. 112)
                             (Jones, 2007, p. 199) หรือ 
                             (Kernis, Cornell, Sun, Berry, & Harlow, 1993, p. 145)
        กรณีที่เนื้อหานั้น มีการกล่าวอ้างอิงถึงหลายผลงาน ให้ใช้เครื่องหมาย ; คั่น ระหว่างผลงาน เช่น (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล, 2560, น. 45; วินิจ ผาเจริญ, 2561; Jones, 2009, p. 199)
         4.2 สัมภาษณ์
                             (ผู้แต่ง, สัมภาษณ์, วัน เดือน ปี ที่สัมภาษณ์)
         ผู้ให้สัมภาษณ์ ให้ระบุชื่อและนามสกุลโดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม 
             ตัวอย่างเช่น (กฤตวิทย์ อัจฉริยะพานิชกุล, 1 สิงหาคม 2560)
                             (Kittawit  Autchariyapanitkul, personal communication, August 11, 2007)
                             (E. Robbins, personal communication, January 4, 2001).
5. การอ้างอิงท้ายบทความ ตามหลักเกณฑ์ APA

หมายเหตุ: 
         1. สำหรับผู้แต่งที่เป็นชาวไทย ให้ระบุชื่อและนามสกุลโดยไม่ต้องใส่คำนำหน้าชื่อ ยกเว้นในกรณีที่มีราชทินนามหรือฐานันดรศักดิ์ ซึ่งให้ใส่ไว้ท้ายชื่อ โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างชื่อกับราชทินนามหรือฐานันดรศักดิ์ ส่วนสมณศักดิ์ให้คงรูปตามเดิม
         2. ในกรณีที่มีผู้แต่งผลงาน 2 ท่าน ให้ระบุชื่อทั้งสองตามลำดับที่ปรากฏไว้ จากนั้นเชื่อมโยงชื่อด้วยคำว่า “และ” สำหรับเอกสารภาษาไทย และใช้เครื่องหมาย “&” สำหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ (โดยเว้นวรรคหนึ่งช่องทั้งก่อนและหลังเครื่องหมาย)
         3. สำหรับผู้แต่งชาวต่างประเทศ ให้เรียงลำดับโดยขึ้นต้นด้วย นามสกุล ตามด้วย อักษรย่อของชื่อแรก (และอักษรย่อของชื่อกลาง หากมี) โดยเว้นวรรคระหว่างอักษรย่อ และใช้ เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่าง นามสกุล และ อักษรย่อของชื่อ ทั้งนี้ ควรเรียงลำดับตาม ธรรมเนียมของประเทศต้นทาง ของผู้แต่งหากมีคำต่อท้าย เช่น Jr. หรือคำอื่น ๆ ให้ระบุไว้หลัง อักษรย่อของชื่อ หรือ อักษรย่อของชื่อกลาง (หากมี) โดยใช้เครื่องหมายจุลภาคคั่น
         4. หากผู้แต่งเป็นสถาบัน ให้เรียงลำดับจากหน่วยงานใหญ่ไปยังหน่วยงานย่อย พร้อมเว้นวรรคระหว่างชื่อหน่วยงานเพื่อความชัดเจน แต่เมื่อนำไปอ้างอิงในเนื้อหา ควรเรียงลำดับกลับกัน โดยเริ่มจากหน่วยงานย่อยไปยังหน่วยงานใหญ่
         5. หากไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับเมืองที่พิมพ์หรือสำนักพิมพ์ ให้ใช้ [ม.ป.ท.] สำหรับเอกสารภาษาไทย และ [n.p.] สำหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ
         6. หากปีที่พิมพ์ไม่ปรากฏบนเอกสาร กรุณาใช้ [ม.ป.ป.] สำหรับเอกสารภาษาไทย และ [n.d.] สำหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ เพื่อให้การอ้างอิงของคุณสมบูรณ์และเป็นมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับ APA Style 6PPthPP  edition เช่น APA Formatting and Style Guide. http://owl.english.purdue.edu/owl/resource /560/01/American56T56T Psychological Association (APA) 6PPthPP edition style Examples. From 56T56Twww.lib. monash.edu.au/tutorials/citing/56T56Tapa-a4.pdf
6. วิธีเรียงอ้างอิง การเรียงอ้างอิงใช้หลักการเดียวกับการเรียงคำในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน หรือ Dictionary ที่เป็นสากล โดยคำที่มีสะกดจัดเรียงไว้ก่อนคำที่มีรูปสระตามลำดับตั้งแต่ กก - กฮ ดังนี้
                             ก ข ค ฅ ฆ ง จ ฉ ช ซ ฌ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ด ต ถ ท ธ น 
                             บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม ย ร ฤ ฤา ล ฦ ฦา ว ศ ษ ส ห ฬ อ ฮ
         ส่วนคำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวเดียวกัน เรียงลำดับตามรูปสระ ดังนี้
                             อะ อัว อัวะ อา อำ อิ อี อื อุ อู เอะ เอ เอาะ เอา
                             เอิน เอีย เอียะ เอือ เอือะ แอ แอะ โอ โอะ ใอ ไอ
7. ส่วนภาพประกอบ (Figure) และส่วนตาราง (Table)
         โปรดใช้ภาพประกอบและตารางเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น โดยจัดวางให้เหมาะสมในแต่ละหน้า (ไม่เกิน 1 ภาพหรือ 1 ตารางต่อหน้า) สำหรับตาราง ให้พิมพ์คำบรรยายไว้ด้านบนชิดขอบซ้าย และเพิ่มคำอธิบายเพิ่มเติมใต้ตารางตามรูปแบบที่กำหนด ดังนี้
                             ตารางที่/1/ชื่อตาราง
         สำหรับคำบรรยายภาพ กราฟ แผนภูมิ แผนภูมิภาพ ให้พิมพ์ใต้ภาพ จัดกลางหน้ากระดาษ ส่วนคำอธิบายเพิ่มเติมให้ใส่ใต้ภาพ โดยมีรูปแบบดังนี้
                             ภาพที่/1/ชื่อภาพ