การพัฒนารูปแบบการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในยุคดิจิทัล
Main Article Content
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและประเมินรูปแบบการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในยุคดิจิทัล การวิจัยนี้มี 2 ระยะ ดังนี้ 1) พัฒนารูปแบบ ผู้ให้ข้อมูลจำนวน 7 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ การยืนยันองค์ประกอบเชิงยืนยัน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มงานบริหารวิชาการ และครู 501 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 2) การประเมินรูปแบบ ผู้ให้ข้อมูล 9 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมมนาอิงผู้เชี่ยวชาญ และการนำรูปแบบไปปฏิบัติ จำนวน 1 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล 7 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการประชุมสะท้อนผลการนำไปใช้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ของโรงเรียนมัธยมศึกษาในยุคดิจิทัล ประกอบด้วย (1) หลักการของรูปแบบ (2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) ลักษณะสำคัญของรูปแบบ ประกอบด้วย สภาพแวดล้อมด้านกายภาพ สภาพแวดล้อมด้านความปลอดภัย สภาพแวดล้อมด้านการจัดการเรียนการสอน สภาพแวดล้อมด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนสอน สภาพแวดล้อมด้านการมีส่วนร่วม (4) การนำรูปแบบไปใช้ และ (5) ผลที่เกิดขึ้น และผู้เชี่ยวชาญมีฉันทามติให้รูปแบบมีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์ การนำรูปแบบไปปฏิบัติ พบว่า ผู้บริหารและครูได้วางแผนการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน ครูและนักเรียนได้รับความปลอดภัยทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน ครูปฏิบัติตามกระบวนการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ มีการวางแผนการจัดการศึกษา การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การออกแบบการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ครูมีความสามารถในการพัฒนาสื่อ และนวัตกรรม ได้รับการพัฒนาทักษะการใช้สื่อและเทคโนโลยีการสอนที่ทันสมัย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการจัดการสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ใหม่ในยุคดิจิทัล
Article Details

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้รายใดก็ตามที่จะอ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังข้อความทั้งหมดของบทความ รวบรวมข้อมูลสำหรับการจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือมีเจตนาเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า (Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License)

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License
เอกสารอ้างอิง
กนกรัตน์ บุญไชโย. (2559). โมเดลสภาพแวดล้อมการเรียนรู้แบบ Flipped Classroom ตามหลักการการใช้ปัญหาเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษา. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ประเสริฐศักดิ์ เหินไรสง (2559). การพัฒนาระบบการบริหารแบบมีส่วนร่วมในการจัด สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
มูลนิธิมั่นพัฒนา. (2562). สืบสานสู่ปฏิบัติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย (A CALL TO ACTION: THAILAND AND THE SUSTAINABLE DEVELOPMENT GOALS). ส.พิจิตรการพิมพ์.
สาริกา ราชบุญทอง. (2564). การพัฒนารูปแบบการบริหารสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สำหรับโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. มหาวิทยาลัยราชภัฎนครปฐม.
สำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ. (2561). ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2561-2580. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ.
อรชร กิตติชนม์ธวัช. (2558). การพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนเพื่อเสริมสร้างภาวะผู้นำเชิง สร้างสรรค์ของนักเรียนประถมศึกษา. [วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต]. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
Alonso-Tapia, J., & Pardo, A. (2006). Assessment of learning environment motivational quality from the point of view of secondary and high school learners. Learning and Instruction, 16(4), 295-309
Maxwell, L. E. & Chmielewski, E. J. (2008). Environmental personalization and elementary school children’s self-esteem. Journal of Environmental Psychology, 28(2), 143-153