https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/issue/feed วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2024-08-29T18:57:06+07:00 Sunan Siphai rdijournal@cpru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ รับพิจารณาตีพิมพ์บทความวิจัย (Research article) บทความวิชาการ (Academic article) และ บทความปริทัศน์ (Review article) ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1: มกราคม - เมษายน<br />ฉบับที่ 2: พฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3: กันยายน - ธันวาคม</p> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1341 การพัฒนาคลังข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-07-18T11:54:28+07:00 พิสิฐพงศ์ เหิรเมฆ pisitpong.hernmek@gmail.com เทิดศักดิ์ สุพันดี terdsakspd@hotmail.com สมประสงค์ เสนารัตน์ somprasongreru@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคลังข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบแบบ 2 พารามิเตอร์ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในภาคเขตตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 2,167 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก วิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ของข้อสอบตามทฤษฎีการตอบสนองข้อสอบโดยใช้โมเดลการตอบสนองข้อสอบที่ตรวจให้คะแนนรายข้อแบบสองค่าด้วยโปรแกรมภาษา R แพ็กเกจ MIRT ผลการวิจัย พบว่า ข้อสอบวิชาวิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สร้างขึ้น จำนวนทั้งสิ้น 543 ข้อ และผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความตรงเชิงเนื้อหา มีข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ จำนวน 485 ข้อ <br />มีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 แบ่งข้อสอบออกเป็น 10 ฉบับ ๆ ละ 50 ข้อ มีข้อสอบร่วม จำนวน 10 ข้อ นำไปทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง และนำผลการทดสอบมาปรับเทียบโดยใช้โปรแกรมภาษา R แพ็กเกจ Equate แล้วนำมาปรับเทียบด้วยวิธีโค้งลักษณะข้อสอบของ Haebera Method ได้ข้อสอบที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ จำนวน 289 ข้อ โดยมีค่าพารามิเตอร์ของข้อสอบ ได้แก่ ค่าความยากอยู่ระหว่าง -0.84 <br />ถึง +2.50 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 0.40 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 0.21 และมีค่าอำนาจจำแนก 0.50 ถึง 2.52 ซึ่งแสดงว่าข้อสอบมีระดับความยากอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงยาก โดยคลังข้อสอบที่สร้างขึ้นใช้โปรแกรม PhpMyAdmin ในการจัดทำฐานข้อมูล ประกอบด้วย รูปภาพ ตัวเลข และตัวอักษร และฐานข้อมูลในคลังข้อสอบนี้จะนำไปพัฒนาโปรแกรมการทดสอบแบบปรับเหมาะด้วยคอมพิวเตอร์ต่อไป</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1194 การพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา เพื่อส่งเสริมทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการทำงานเป็นทีม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 2024-05-07T15:24:05+07:00 โสรยา อ่วมเมือง sorayaa3434@gmail.com ชนสิทธิ์ สิทธิสูงเนิน sorayaa3434@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา 2) พัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา 3) ทดลองใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา 4) ประเมินประสิทธิผลหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษากับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหนองชุมพล จังหวัดเพชรบุรี ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา (2) แบบประเมินทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรม (3) แบบประเมินทักษะการทำงานเป็นทีม และ (4) แบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติม<br />สะตีมศึกษา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) สถิติที และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1.ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา พบว่าผู้เกี่ยวข้องมีความต้องการให้มีองค์ประกอบสอดคล้องกับบริบทโรงเรียน ระบุความเป็นสะตีม (STEAM) ชัดเจน จัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เน้นให้นักเรียนมีโอกาสร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมและทักษะการทำงานเป็นทีม</p> <p>2.ผลการพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา ประกอบด้วย 8 องค์ประกอบ 2 หน่วยการเรียนรู้ อยู่ในเกณฑ์คุณภาพระดับมากที่สุด</p> <ol start="3"> <li>ผลการใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา จัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษารวมเวลา 40 ชั่วโมง ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้ 2 หน่วยการเรียนรู้</li> <li>ผลการประเมินหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษา พบว่า (1) นักเรียนมีผลการเรียนรู้หลังใช้หลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 โดยผลการเรียนรู้หลังการใช้สูงกว่าก่อนใช้ (2) นักเรียนมีทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมนักเรียนมีทักษะการสร้างสรรค์นวัตกรรมอยู่ในระดับดี (3) นักเรียนมีทักษะการทำงานเป็นทีมนักเรียนการทักษะการทำงานเป็นทีมอยู่ในระดับดี (4) นักเรียนมีความคิดเห็นต่อหลักสูตรรายวิชาเพิ่มเติมสะตีมศึกษาอยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1081 ผลการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้รวมพลังสร้างอาชีพ และสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2024-02-21T15:29:01+07:00 จันจิรา ชัยปัญญา chanjira0201@gmail.com สิรินาถ จงกลกลาง sirinat.j@nrru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหน่วยการเรียนรู้รวมพลังสร้างอาชีพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะโดยใช้แนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ และ 4) ศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะโดยใช้แนวคิด การเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียน ปริยัติไพศาล อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 6 จำนวน 17 คน โดยได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ รวมพลังสร้างอาชีพ จำนวน 4 แผน 16 ชั่วโมง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีม แบบสังเกตสภาพการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ และแบบบันทึกการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ ได้แก่ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที<br />และการทดสอบโดยวิลคอกซัน</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 42.06 และ 76.18 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 76.18 และสูงกว่าเกณฑ์ ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการเปรียบเทียบสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ผลการศึกษาสภาพการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ พบว่า บรรยากาศในชั้นเรียนเกิดความแปลกใหม่ นักเรียนมีอิสระในการทำงานร่วมกันแสดงความคิดเห็นและมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/984 ผลการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสากล ตามแนวคิดของดาลโครซ เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางดนตรีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 2024-02-05T14:12:36+07:00 กฤษฏิ์ติณห์ ขจรวงศ์สถิต pminkmusic@gmail.com ชวนพิศ รักษาพวก chuanpit_eid@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการปฏิบัติทางดนตรีวิชาดนตรีสากล ตามแนวคิดของดาลโครซ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสากล ตามแนวคิดของดาลโครซ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 3) เพื่อศึกษาทักษะปฏิบัติทางดนตรี ที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสากลตามแนวคิดของดาลโครซ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเนรมิตศึกษา จำนวน 1 ห้องเรียน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดกิจกรรมรายวิชาเพิ่มเติม วิชาดนตรีสากลตามแนวคิดของดาลโครซ เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติทางดนตรี จำนวน 4 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวมทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบวัดทักษะปฏิบัติ แบบมาตราส่วนประมาณค่าในการวัดและประเมินผล ทักษะการปฏิบัติทางดนตรี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติ ทดสอบสมมติฐาน ด้วยสถิติทีแบบสองกลุ่มที่สัมพันธ์กัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้วิชาดนตรีสากลตามแนวคิดของดาลโครซ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เท่ากับ 84.86 / 85.93 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 วิชาดนตรีสากลตามแนวคิดของดาลโครซ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการศึกษาทักษะปฏิบัติทางดนตรี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่านักเรียนมีการเล่นและการสร้างสรรค์ ได้คะแนนร้อยละ 85.28 รองลงมาการฟังและการเคลื่อนไหวตามจังหวะ ได้คะแนนร้อยละ 80.83 การขับร้อง ได้คะแนนร้อยละ 80.56 และการอ่านและการเขียน ได้คะแนนร้อยละ 76.11 โดยมีค่าร้อยละเฉลี่ยรวมของคะแนนเต็มเท่ากับ 80.69</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/921 การพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2024-01-18T14:21:44+07:00 ยศพร บุญเลี้ยง kochapornnu@yahoo.com กชพร นำนาผล kochapornnum@yahoo.com นิวัฒน์ สารขันธ์ niwatsarakhan@gmail.com แสงจันทร์ กะลาม Saengchankalam@gmail.com อุมาพร ไวรัตน์ umapornedupsy009@gmail.com เพิ่มพร สุ่มมาตร porn.reru@gmail.com ทวี ตรีกุล kochapornnum@yahoo.com <p>การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ เพื่อฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน และ3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 16 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้มาโดยการเจาะจงนักเรียน เก่ง อ่อน ปานกลาง เครื่องมือที่ใช้ 1. แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ 2. แผนการจัดการเรียนรู้ 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านจับใจควา 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test Dependent)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 80.58 และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 82.64 E1/E2=80.58/82.64 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และ 3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความ<br />พึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1067 ผลการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูงที่มีต่อสมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและปฏิกิริยาในนักศึกษาที่เรียนวิชาแฮนด์บอล 2024-02-23T14:28:46+07:00 แสนศักดา วรรณมูล sukanda.tran@gmail.com สมพร จุลมาศ Somporn.jullamas@gmail.com พัณฑ์ชิตตา ศิรินัญทพันธ์ phanchittasiri@gmail.com <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูงต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและปฏิกิริยาตอบสนองก่อนการฝึกและหลังการฝึกโปรแกรมการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูงกลุ่มตัวอย่างที่ใช้คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชัยภูมิที่เรียนวิชาแฮนด์บอล จำนวน 60 คน และทำการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ใช้โปรแกรม การฝึกด้วยตาราง เก้าช่องประยุกต์ยกสูงเป็นเครื่องมือ โดยผู้วิจัยนำผู้เข้ารับการทดลอง 60 คน มาทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและปฏิกิริยาตอบสนองก่อนเข้าโปรแกรมการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูง จากนั้นนำผู้เข้ารับการทดลอง 60 คนเข้าโปรแกรมการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูงจำนวน 8 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3 วัน คือวันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี เวลา 17.00 - 18.00 น. หลังจากการฝึกสัปดาห์ที่ 8 ผู้วิจัยนำผู้เข้ารับการทดลอง 60 คน ทดสอบความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและปฏิกิริยาตอบสนองนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคำนวณความแตกต่างของค่าเฉลี่ย t – test dependent</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูงส่งผลให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาและปฏิกิริยาตอบสนองของนักศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชัยภูมิที่เรียนวิชาแฮนด์บอลดีขึ้น โดยการทดสอบความแตกต่างของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาก่อนการฝึกมีความแตกต่างจากหลังการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และทดสอบความแตกต่างปฏิกิริยาตอบสนองก่อนการฝึกมีความแตกต่างจากหลังการฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่าการฝึกด้วยตารางเก้าช่องประยุกต์ยกสูง ส่งผลให้สมรรถภาพทางกายด้านความแข็งแรงกล้ามเนื้อขาและปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1109 การพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามแนวคิดของทอร์แรนซ์ ที่มีต่อความฉลาดทางการเล่นของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 2024-03-18T16:14:31+07:00 ฤทัยทิพย์ โสภา ruethaitip.sopha@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดทางการเล่น ก่อนและหลังการทดลองของนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามแนวคิดของทอร์แรนซ์และของนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ 2) เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดทางการเล่น หลังการทดลองระหว่างนักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามแนวคิดของทอร์แรนซ์กับนักเรียนกลุ่มควบคุมที่ได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเทศบาล 5 สีหรักษ์วิทยา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายโดยการจับฉลากเพื่อกำหนดห้องเรียนตัวอย่าง 2 ห้อง แบ่งเป็นนักเรียนนักเรียนกลุ่มทดลอง จำนวน 25 คน และนักเรียนกลุ่มควบคุม จำนวน 25 คน ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย 8 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้พลศึกษาตามแนวคิดของทอร์แรนซ์ที่มีต่อความฉลาดทางการเล่น จำนวน 8 แผน โดยมีค่าเฉลี่ยดัชนีความสอดคล้องรวมเท่ากับ 0.97 2) แบบวัดความฉลาดทางการเล่น มีค่าความเที่ยงของแบบวัดเท่ากับ 0.89 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างของคะแนนค่าเฉลี่ยด้วยค่า “ที”</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดทางการเล่นของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังการได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาตามแนวคิดของทอร์แรนซ์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดทางการเล่นของนักเรียนกลุ่มควบคุมหลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้พลศึกษาแบบปกติไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความฉลาดทางการเล่นของนักเรียนกลุ่มทดลองหลังการทดลองสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> สรุปผลการวิจัย การพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาพลศึกษาตามแนวคิดของทอร์แรนซ์ส่งผลต่อความฉลาดทางการเล่นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1202 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 2024-05-01T16:03:07+07:00 กัญชลิกา กัลยา chalika137@gmail.com อาคม อึ่งพวง arkom.eun@neu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา 2) ศึกษาการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษาและ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาจากสูตรของ Taro Yamane ที่ระดับความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม 0.05 จำนวน 320 คน จากนั้นสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ตามสัดส่วนจำนวนผู้บริหารและครู ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 38 คน และครู จำนวน 282 คน รวม 320 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับมีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีการปฏิบัติการมากที่สุด คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.73,S.D.=0.34) รองลงมาคือ ด้านการจัดบรรยากาศที่ส่งเสริมวิชาการ ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.65,S.D.=0.45) ส่วนด้านที่มีการปฏิบัติการต่ำที่สุด คือ ด้านการประเมินคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.57,S.D.=0.48) </li> <li>การเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่มีการปฏิบัติการ<br />มากที่สุด คือ ด้านการเป็นบุคคลที่รอบรู้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" /> =4.67, S.D.=0.34) รองลงมาคือ ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.64, S.D.=0.39) ส่วนด้านที่มีการปฏิบัติการต่ำที่สุด คือ ด้านการเรียนรู้เป็นทีม (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" /> =4.57, S.D.=0.44) </li> <li>ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารกับการเป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1 โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในทิศทางบวกในระดับสูงมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1203 ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 2024-05-12T17:56:22+07:00 วัชรพล สุขวิริยานนท์ pechsukhawiriyanon@gmail.com อาคม อึ่งพวง arkom.eun@neu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 และ 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นครูและผู้บริหารสถานศึกษา ได้มาจากสูตร Taro Yamane (1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อน .05 ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 341 คน จากนั้นสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบ่งชั้นภูมิ ตามของขนาดสถานศึกษา ได้กลุ่มตัวอย่างสถานศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 81 คน สถานศึกษาขนาดกลาง จำนวน 198 คน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 62 คน รวม 341 คน ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) มีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ .86 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป หาค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation) และค่าความแปรปรวนทางเดียว (One-Way-ANOVA)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.47, S.D.=0.185) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านการมีความรู้ความสามารถทางเทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรมการศึกษา อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.52, S.D.=0.226) รองลงมาคือ ด้านการบริหารงานโดยใช้เทคโนโลยี อยู่ในระดับมากที่สุด (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.51, S.D.=0.215) และด้านการเป็นพลเมืองในยุคดิจิทัล อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.50, S.D.= 0.277) ตามลำดับ ส่วนด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดคือ ด้านการสนับสนุน ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีจัดการศึกษา อยู่ในระดับมาก (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.40, S.D.=0.287)</li> <li>ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำทางเทคโนโลยีของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 จำแนกตามขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกันซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1201 ความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 2024-05-01T14:24:03+07:00 ธงชัย กัลยา tongchai.ninja14@gmail.com อาคม อึ่งพวง arkom.eun@neu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น 2) เพื่อศึกษาแนวทางการส่งเสริมการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 จำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยได้มาจากสูตร Taro Yamane (1973) ที่ระดับความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม .05 จำนวน 290 คน จากนั้นสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิอย่างเป็นสัดส่วน (Proportional Stratified Random Sampling) เทียบสัดส่วนกลุ่ม ได้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 34 คน และครู จำนวน 256 คน รวม 290 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตรประมาณค่า 5 ระดับมีความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ 0.97 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI<sub>Modified</sub>)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็นในส่งเสริมการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 มีสภาพปัจจุบันอยู่ในระดับมาก สภาพพึงประสงค์อยู่ในระดับมากที่สุด และความต้องการจำเป็นในการส่งเสริมการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาขนาดเล็ก ตามลำดับความต้องการจำเป็นมากที่สุด ได้แก่ 1) ด้านการเป็นชุมชนกัลยาณมิตร 2) ด้านการมีโครงสร้างสนับสนุนชุมชน 3) ด้านการเรียนรู้และพัฒนาวิชาชีพ 4) ด้านการมีภาวะผู้นำร่วม 5) ด้านการมีวิสัยทัศน์ร่วม และ 6) ด้านการมีทีมร่วมแรงร่วมใจ </li> <li>แนวทางในการส่งเสริมการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพของสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาฬสินธุ์ เขต 2 มีแนวทางตามความต้องการจำเป็นในระดับที่ต้องพัฒนา คือ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาควรจัดกิจกรรมให้คณะครูและบุคลากรทางการศึกษาได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และ 2) ผู้บริหารสถานศึกษาควรส่งเสริมให้มีการนิเทศจากภายในและภายนอกสถานศึกษา</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1111 การศึกษาสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาโท สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 2024-03-29T13:44:57+07:00 จตุรภัทร ไสยสมบัติb 65010592004@msu.ac.th จิระพร ชะโน jiraporn.j@msu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาสมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาโท สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 4 ด้าน คือ 1) การมีส่วนร่วมในการทำงาน <br />2) การปรับตัวในการทำงาน 3) ภาวะผู้นำในการทำงาน และ 4) แรงจูงใจในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างการวิจัย คือ นิสิตปริญญาโท สาขาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 21 คน คัดเลือกแบบเจาะจง ใช้เกณฑ์การคัดเลือกจากผู้สมัครเข้าร่วมกิจกรรมอาสาส่งเสริมประสบการณ์วิชาชีพครู เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า สมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาโท สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ภาพรวมของแต่ละด้าน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.62 อยู่ในระดับมากที่สุด สมรรถนะการรวมพลังทำงานเป็นทีมของนิสิตปริญญาโท สาขาหลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยมหาสารคามในแต่ละด้านมีดังนี้ การมีส่วนร่วมในการทำงาน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.52 อยู่ในระดับมากที่สุด การปรับตัวในการทำงานมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 อยู่ในระดับมากที่สุด ภาวะผู้นำในการทำงาน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67 อยู่ในระดับมากที่สุด และแรงจูงใจในการทำงาน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 อยู่ในระดับมาก</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1128 การพัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยม ในโรงเรียนขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2024-04-09T12:20:07+07:00 กฤษฎา ฮาดภักดี juickritsada7220@sb.ac.th อรพรรณ ตู้จินดา juickritsada7220@gmail.com ดวงใจ ชนะสิทธิ์ juickritsada7220@gmail.com มิ่งขวัญ ภาคสัญไชย juickritsada7220@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยมในโรงเรียนขนาดใหญ่ 2) พัฒนาโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยมในโรงเรียนขนาดใหญ่ 3) ยืนยันโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยมในโรงเรียนขนาดใหญ่ การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมวิธี การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 ศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 3 คน โดยใช้วิธีเลือกแบบเจาะจงตามที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างและแบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ระยะที่ 2 วิเคราะห์โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาให้มีความปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยมในโรงเรียนขนาดใหญ่ ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารและครูในโรงเรียนขนาดใหญ่ สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 519 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามที่สร้างโดยผู้วิจัย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เส้นทาง ระยะที่ 3 ยืนยันปัจจัยโมเดลเชิงสาเหตุ โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการยืนยัน คือ แบบตรวจสอบยืนยันโมเดลเชิงสาเหตุ สถิติที่ใช้ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li class="show">องค์ประกอบปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยม ในโรงเรียนขนาดใหญ่ ประกอบด้วย การจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน การรณรงค์&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; สร้างเจตคติและจิตสำนึกความปลอดภัย การจัดหลักสูตรสวัสดิศึกษา การจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;การจัดบริการความปลอดภัย และมาตรการป้องกันและการแก้ไขปัญหา</li> <li class="show">โมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยมในโรงเรียนขนาดใหญ่ มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ตามเกณฑ์ดังนี้ ค่า chi-square เท่ากับ 17.06 ค่า p-value เท่ากับ 0.02 ค่า chi-square/df เท่ากัน 2.44 ค่า GFI เท่ากับ 0.99 ค่า AGFI เท่ากับ 0.96 ค่า CFI เท่ากับ 0.99 ค่า NFI เท่ากับ 0.99 ค่า IFI เท่ากับ 0.99 ค่า RMR เท่ากับ 0.00 และค่า RMSEA เท่ากับ 0.05 โดยมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหา การจัดบริการความปลอดภัย และการจัดระบบคุ้มครองเด็กมีอิทธิผลทางตรงต่อการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยมในโรงเรียนขนาดใหญ่ อีกทั้งในด้านการจัดบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียนมีอิทธิพลทางอ้อมผ่านไปยังการรณรงค์สร้างเจตคติและจิตสำนึก ผ่านระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนไปยังความปลอดภัยในสถานศึกษา ในด้านการรณรงค์สร้างเจตคติและจิตสำนัก มีอิทธิพลทางอ้อมผ่านการจัดหลักสูตรสวัสดิศึกษา ผ่านการจัดบริการด้านความปลอดภัยไปยังความปลอดภัยในสถานศึกษา</li> <li class="show">ผลการยืนยันโมเดลปัจจัยเชิงสาเหตุของการบริหารสถานศึกษาปลอดภัยภายใต้สังคมพหุนิยม ในโรงเรียนขนาดใหญ่ พบว่า ปัจจัยโมเดลเชิงสาเหตุมีความเหมาะสม เป็นไปได้ ถูกต้องและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในระดับมาก ทั้งนี้ผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับหลักการบริหารสถานศึกษาให้ปลอดภัยว่า ผู้บริหารควรให้ความสำคัญกับการประเมินเพื่อป้องกันและแก้ปัญหาของพื้นที่จุดเสี่ยง รวมถึงการกำหนดมาตรการและการลงมือปฏิบัติด้านความปลอดภัยในสถานศึกษาอย่างจริงจัง</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1204 แนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 2024-05-09T18:15:52+07:00 ธนกร นามวิชัย datduethana@gmail.com บรรจบ บุญจันทร์ banjobbun21@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 2) เปรียบเทียบการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาจำแนกตามขนาดโรงเรียน และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 335 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 18 คน และครู จำนวน 317 คน ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา แบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.894 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างเพื่อหาแนวทางพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับมากที่สุด โดยด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด คือ การวัดและการประเมินผล (<img id="output" style="font-size: 0.875rem;" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" /><span style="font-size: 0.875rem;">= 4.62, S.D. = 0.48)</span></li> <li>การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีความแตกต่างกันมีจำนวน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการพัฒนาหลักสูตร ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวัดผลและการประเมินผล ด้านการพัฒนาสื่อเทคโนโลยีทางการศึกษา และด้านการประกันคุณภาพทางการศึกษา</li> <li>แนวทางการพัฒนาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านการพัฒนาหลักสูตร ควรศึกษาบริบท และความต้องการของชุมชน เพื่อให้หลักสูตรมีความหมายต่อผู้เรียนอย่างแท้จริง ด้านการจัดการเรียนการสอน ควรส่งเสริมให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้เชิงรุก เพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงและทักษะการคิดแก้ปัญหา ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ด้านการนิเทศการศึกษา ควรวางแผนการนิเทศการศึกษาร่วมกัน กำหนดปฏิทินการนิเทศที่เหมาะสมและชัดเจนโดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือและพัฒนา ด้านการวัดผลและประเมินผล ควรพัฒนาครูให้มีความสามารถสร้างเครื่องมือ วัดผลและประเมินผลที่ถูกต้อง ตรงตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรสถานศึกษา ด้านการพัฒนาสื่อ-เทคโนโลยีทางการศึกษา ควรสำรวจและจัดหาสื่อให้ตรงตามความต้องการและอย่างเพียงพอ และด้านการประกันคุณภาพทางการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาควรประชาสัมพันธ์ผลการปฏิบัติงานประจำปีต่อผู้ปกครอง ผู้นำชุมชนและหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อผู้รับบริการ</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1112 สมรรถภาพทางกายนักกีฬาระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชัยภูมิ 2024-03-25T16:26:46+07:00 คณิติน ม่วงชูอินทร์ kanitin22@gmail.com กรณ์ทิพย์ ลิ่มนรรัตน์ kornthip_lim@tnsuc.ac.th บรรลือ รัตนจรัสโรจน์ dazzytippy@gmail.com พัณฑ์ชิตตา ศิรินัญทพันธ์ phanchittasiri@gmail.com แสนศักดา วรรณมูล wanmool@hotmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมรรถภาพทางกายนักกีฬาระดับอุดมศึกษามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชัยภูมิ ปีการศึกษา 2566 และเปรียบเทียบกับเกณฑ์สมรรถภาพทางกายนักกีฬามหาวิทยาลัย แห่งประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 138 คน ซึ่งได้มาโดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง รวบรวมข้อมูลโดยการทดสอบสมรรถภาพทางกาย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเปรียบเทียบกับเกณฑ์สมรรถภาพทางกายนักกีฬามหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ผลการวิจัยพบว่า ทดสอบนั่งงอตัวไปข้างหน้า เพศชาย ระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับดี เพศหญิงระดับสมรรถภาพทางกายต่ำ ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำ ทดสอบแรงบีบมือ เพศชายระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับปานกลาง เพศหญิงระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำมาก ทดสอบแรงเหยียดขา เพศชายระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำ เพศหญิงระดับสรรถภาพทางกาย ปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำมาก ทดสอบทุ่มบอลเพศชายระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับปานกลาง เพศหญิงระดับสมรรถภาพทางกายดี ส่วนมากอยู่ในระดับดี ทดสอบยืนกระโดดสูง เพศชายระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำ เพศหญิงระดับเกณฑ์สมรรถภาพทางกายต่ำ ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำมาก ทดสอบวิ่งเก็บของ 3 จุด เพศชาย ระดับสมรรถภาพทางกายปานกลาง ส่วนมากอยู่ในระดับดีมาก เพศหญิงระดับสมรรถภาพทางกายต่ำ ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำมาก ทดสอบวิ่งเร็ว 40 เมตร เพศชายระดับ สมรรถภาพทางกายต่ำมาก ส่วนมากอยู่ในระดับปานกลาง เพศหญิงระดับสมรรถภาพทางกายต่ำ ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำมาก ทดสอบวิ่ง Multistage Fitness Test เพศชายระดับสมรรถภาพทางกายต่ำ ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำ เพศหญิงระดับสมรรถภาพทางกายต่ำมาก ส่วนมากอยู่ในระดับต่ำมาก จากผลการวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าสมรรถภาพทางกายของนักกีฬาเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์สมรรถภาพทางกายนักกีฬาในระดับปานกลาง ต่ำและต่ำมาก ซึ่งควรเร่งให้ข้อความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬากับผู้ฝึกสอนและนักกีฬาเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์สมรรถภาพทางกายเบื้องต้น เป็นแนวทางกำหนดรูปแบบการฝึกซ้อม ติดตาม ประเมินผลความก้าวหน้าของนักกีฬา รวมทั้งการคัดเลือกนักกีฬาของผู้ฝึกสอน</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1160 การพัฒนารูปแบบการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่าย ในการเรียนของนักศึกษา มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตชุมพร 2024-04-10T11:05:31+07:00 กฤษณะ เริงสูงเนิน kitsana14559@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นรูปแบบการวิจัยและพัฒนา โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษา 2) เพื่อสร้างและหาคุณภาพของโปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษา 3) เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้โปรแกรมก่อนและหลังการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีต่อผลคะแนนความเหนื่อยหน่ายในการเรียนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม และ 4) เพื่อประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาหลังการใช้โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่มีคะแนนความเหนื่อยหน่ายในการเรียนต่ำกว่าเกณฑ์ จำนวน 16 คน โดยการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงที่สมัครใจเข้ารับการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษา 2) แบบวัดความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษา และ 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักศึกษาหลังการใช้โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษา ซึ่งแบบวัดและแบบประเมินผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 8 ท่าน มีค่า IOC อยู่ระหว่าง 0.80 - 1.00 และสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ The Mann-Whitney U test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>องค์ประกอบของความเหนื่อยหน่ายในการเรียน ประกอบด้วย ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ความอ่อนล้าทางสภาวะบุคคล และความอ่อนล้าทางผลลัพธ์ของบุคคล</li> <li>โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.46 มีความเหมาะสมมากที่สุด</li> <li>นักศึกษามีคะแนนความเหนื่อยหน่ายในการเรียนหลังการเข้าร่วม โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีต่อผลคะแนนความเหนื่อยหน่ายในการเรียนลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับคะแนน ความเหนื่อยหน่ายในการเรียนก่อนการทดลองแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</li> <li>นักศึกษามีความพึงพอใจหลังการใช้โปรแกรมการให้คำปรึกษากลุ่มแบบบูรณาการที่มีผลต่อความเหนื่อยหน่ายในการเรียนของนักศึกษามีความพึงพอใจมากที่สุด ค่าเฉลี่ยรวมทั้งหมดเท่ากับ 4.53</li> </ol> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1239 แนวทางการสร้างเสริมสุขภาพพระสงฆ์ในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา 2024-05-23T14:31:26+07:00 พิทักษ์ มอขุนทด bunpitak8888@gmail.com สุนทร ปัญญะพงษ์ soonthorn@cpru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ปัญหาการสร้างเสริมสุขภาพพระสงฆ์อำเภอด่านขุดทด จังหวัดนครราชสีมา และ 2) หาแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพพระสงฆ์อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ใช้การวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณประชากรคือพระสงฆ์ในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 776 รูป กลุ่มตัวอย่างได้แก่พระสงฆ์จำนวน 254 รูป กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของทาโร่ ยามาเน่ โดยใช้การสุ่มตัวอย่างแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน <br />ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพกลุ่มเป้าหมายจำนวน 19 รูป/คน โดยเลือกแบบเจาะจงจาก พระสงฆ์ บุคคล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ปัญหาการสร้างเสริมสุขภาพพระสงฆ์อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย ระดับปัญหามากที่สุด ได้แก่ 1) ปัญหาด้านการบริโภคอาหารของพระสงฆ์ ได้แก่ การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.75, S.D. =3.219) แกงหมูสามชั้น หมูพะโล้ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" /> =4.58, S.D. =.820) บริโภคอาหารประเภททอด ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.56, S.D. =.807) และ 2) ปัญหาด้านการออกกำลังกาย ได้แก่ การเดินนานเกินไปต่อสัปดาห์ (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" /> =4.77, S.D. =.929) การยกสิ่งของที่หนักขึ้น-ลง (<img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" /> = 4.60, S.D. =1.027) และ การเดินขึ้น-เดินลง ( <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?%20x\bar{}" alt="equation" />=4.53, S.D. =1.008)</p> <p>ส่วนแนวทางการสร้างเสริมสุขภาพพระสงฆ์อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ประกอบด้วย 1) ด้านการบริโภคอาหาร พระสงฆ์ควรพิจารณาเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และเหมาะสมแก่ร่างกายตามวัยอายุ ควรเว้นอาหารที่มีไขมัน รสจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด และ 2) ด้านการออกกำลังกาย อาศัยการเดินบิณฑบาต การกวาดลานวัด ถูศาลาการเปรียญ การยกของหนักแต่พอดีกับสมณสารูป และการเดินขึ้นลงให้น้อยลง เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและลดความเสียงต่อการเกิดโรคต่างๆ</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1289 ช่องว่างระหว่างวัยต่อทัศนคติและพฤติกรรมในการปฏิบัติงาน ของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ 2024-06-06T16:59:34+07:00 ปรัตถกร สิบพันทา paratthagron@kkumail.com ฌาน เรืองธรรมสิงห์ jnarin@kku.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาช่องว่างระหว่างวัยต่อทัศนคติและพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ เพื่อศึกษาช่องว่างระหว่างวัยของบุคลากรส่งผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โดยเป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณเลือกกลุ่มตัวอย่างจำนวน 113 คน ซึ่งได้แก่บุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ โดยใช้เกณฑ์ของ Kerlinger ด้วยวิธีการสุ่มแบบ Accidental sampling method ใช้เครื่องมือการวิจัยด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา ประกอบด้วย ค่าร้อยละสถิติ ค่าเฉลี่ย สถิติอนุมานประกอบด้วย การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว One-Way ANOVA ผลการศึกษาพบว่า 1. ทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ด้านทัศนคติในการทำงานอยู่ในระดับดีมากมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.967 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.521 ด้านพฤติกรรมการปฏิบัติงานอยู่ในระดับดีมากมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.860 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานอยู่ที่ 0.620 2. ช่องว่างระหว่างวัยต่อทัศนคติและพฤติกรรมในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิพบว่าเจเนอเรชั่นแตกต่างกันของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิไม่ส่งผลต่อระดับทัศนคติและพฤติกรรมของบุคลากรในองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1200 การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในครอบครัวแหว่งกลาง 2024-05-30T10:20:23+07:00 สิริศักดิ์ อาจวิชัย sirisak.ar@cpru.ac.th ศศินันท์ มิตรสันเทียะ sasinant.mi@cpru.ac.th สายทิตย์ ยะฟู saypu21@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาศักยภาพเครือข่ายระดับพื้นที่ตำบล 2) พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชน และ 3) ประเมินประสิทธิผลการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในครอบครัวแหว่งกลาง</p> <p>กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ครู และนักเรียนซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนในโรงเรียนทั้ง 8 แห่งในจังหวัดชัยภูมิที่สมัครเข้าร่วมโครงการจำนวน 230 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างผู้ถูกสัมภาษณ์สามารถฟังและตอบคำถามได้ทันทีทุกข้อและแบบประเมินประสิทธิผลของโครงการ (IOC = 0.67 - 1.00) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) การพัฒนาศักยภาพเครือข่าย ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ (1) ประชุมผู้บริหารหรือผู้แทน (2) รับสมัครนักเรียนที่มีความสนใจในอาชีพเดียวกันอย่างน้อยกลุ่มอาชีพละ 10 คน ครูที่ปรึกษา 1– 2 คน (3) สมัครเข้าร่วมโครงการ (4) ดำเนินกิจกรรม (5) ประเมิน ติดตาม และ (6) แลกเปลี่ยนเรียนรู้</p> <p> 2) โครงการฝึกอาชีพและทักษะชีวิต ได้แก่ อาชีพช่างตัดผม การผลิตดอกไม้จันทน์ นาฝายบาเบอร์ เต้าฮวยอวยรัก การทำดอกไม้จันทน์ กล้วยฉาบเนย ข้าวแต๋นน้ำแตงโม การเพาะเห็ดนางฟ้า การเลี้ยงไก่งวง ช่างเสริมสวย แมลงทอดสมุนไพร แซนวิชไส้ทะลัก DIY ริบบิ้นแปลงกาย ในด้านการมีทักษะชีวิตสามารถเรียนรู้การแก้ปัญหา การวางแผน การรวบรวมข้อมูลและประยุกต์ใช้ข้อมูลได้อย่างเหมาะสมจนนำไปสู่การตัดสินใจ</p> <p> 3) การประเมินประสิทธิผลการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนในครอบครัวแหว่งกลาง พบว่า โดยรวมการดำเนินโครงการบรรลุตามวัตถุประสงค์ สามารถสร้างอาชีพให้กับนักเรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหา มีการประชุมสมาชิกร่วมกับครูที่ปรึกษา บูรณาการการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ผู้ปกครองหรือชุมชนรับทราบการดำเนินโครงการฝึกทักษะอาชีพอยู่ในระดับมากที่สุด ปัจจัยที่ทำให้โรงเรียนดำเนินโครงการได้บรรลุตามวัตถุ ได้แก่ งบประมาณ บุคลากร การติดตาม ความร่วมมือของทุกฝ่าย การต่อยอดกิจกรรมระหว่างชุมชนกับโรงเรียน ความสนใจ การสนับสนุนจากครูและผู้ปกครอง และการใช้วัสดุในท้องถิ่น</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1299 การประกอบสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กวยในบริบทการท่องเที่ยว ของจังหวัดสุรินทร์ 2024-06-28T11:54:47+07:00 คำพา ยิ่งคง khampha.y@ubu.ac.th <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการประกอบสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กวยในบริบท การท่องเที่ยวของจังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อศึกษาบทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์กวยในจังหวัดสุรินทร์ เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทางการท่องเที่ยวที่คาบเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์กวยในจังหวัดสุรินทร์ ประกอบด้วย ภาครัฐบาล 8 ท่าน ภาคเอกชน 3 ท่าน และภาคชุมชน 30 ท่าน รวมทั้งสิ้น 41 ท่าน รวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง และแบบสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้แนวคิด ทฤษฎีด้านคติชนวิทยา และด้านการท่องเที่ยว นำเสนอข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า การประกอบสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์กวยในหมู่บ้านตากลาง และหมู่บ้านอาลึโฮมสเตย์ เป็นการนำเสนออัตลักษณ์ใหม่ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยว คือ 1) อัตลักษณ์ด้านอาหาร: ทั้ง 2 ชุมชนเลือกนำเสนออาหารที่ใช้วัตถุดิบในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับภูมิศาสตร์ของชุมชน 2) อัตลักษณ์ด้านที่อยู่อาศัย: บ้าน “ดุง” บ้านตากลางเป็นชุมชนเลี้ยงช้าง จึงผูกช้างไว้ใกล้บ้าน และมีศาลปะกำตั้งอยู่ไม่ไกล บ้านอาลึโฮมสเตย์ มีการอนุรักษ์บ้านโบราณชาวกวย 3) อัตลักษณ์ด้านการแต่งกาย: นำเสนอผ่านการแต่งกายต้อนรับผู้มาเยือน ใช้ผ้าไหมสีดำมาตัดเป็นเสื้อ ตกแต่งด้วยการแซวผ้า ผู้หญิงใส่ผ้าถุง พาดผ้าสไบบนบ่า ผู้ชายใส่โสร่งหรือกางเกงขายาว 4) อัตลักษณ์ด้านภาษา: นำเสนอภาษาผ่านการกล่าวต้อนรับผู้มาเยือน และการกำหนดชื่อฐานการเรียนรู้ 5) อัตลักษณ์ด้านความเชื่อ: มีความเชื่อความศรัทธาอย่างเข้มข้นในอำนาจเหนือมนุษย์ บทบาทของการท่องเที่ยวที่มีต่อกลุ่มชาติพันธุ์กวยในจังหวัดสุรินทร์ คือ 1) บทบาทต่อเศรษฐกิจในชุมชน: ชาวชุมชนมีรายได้เสริมจากการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม 2) บทบาทของการท่องเที่ยวต่อสังคมหรือวัฒนธรรมในชุมชน: ชาวชุมชนเกิดความสามัคคี และมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น อัตลักษณ์ของตนได้รับการอนุรักษ์และฟื้นฟู 3) บทบาทของการท่องเที่ยวต่อสิ่งแวดล้อมในชุมชน: ชาวชุมชนใส่ใจการปรับภูมิทัศน์และสิ่งแวดล้อมโดยรอบชุมชน</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1101 การศึกษากรอบแนวคิดเชิงองค์ประกอบของความสำเร็จธุรกิจเพื่อสังคม 2024-04-03T10:36:24+07:00 สหัสา พลนิล sahutsa.p@sskru.ac.th ประจวบ จันทร์หมื่น prajuab.j@sskru.ac.th อนุวัฒน์ ศรีสุวรรณ์ anuwat.s@sskru.ac.th สุรพงศ์ เบ้าทอง Surapong.baotong@gmail.com สัญญา เคณาภูมิ zumsa_17@hotmail.com <p>การเติบโตของธุรกิจเพื่อสังคมทั่วโลกเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยขับเคลื่อนโดยการเคลื่อนไหวต่างๆ เช่น การค้าที่เป็นธรรมและการเงินรายย่อย ธุรกิจเพื่อสังคมยังคงขยายตัวและสร้างสรรค์นวัตกรรมในภาคส่วนและพื้นที่ต่างๆ มากมาย จัดการกับประเด็นทางสังคมที่ยากลำบากด้วยการผสมผสานประสิทธิผลของภาคเอกชนเข้ากับแนวคิดที่ไม่แสวงหาผลกำไร มุ่งมั่นเพื่อความยั่งยืนในตนเองไปพร้อมๆ กัน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของความสำเร็จธุรกิจเพื่อสังคม โดยทำการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อสังคมตลอดจนความสำเร็จของการดำเนินการ ทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์แล้วนำเสนอประเด็นตามวัตถุประสงค์การศึกษา ผลการศึกษพบว่า องค์ประกอบของความสำเร็จธุรกิจเพื่อสังคม ได้แก่ ธุรกิจเพื่อสังคมที่ชัดเจน (Clear Social Mission) แนวทางที่เป็นนวัตกรรม (Innovative Approach) การวางแนวตลาด (Market Orientation) ภาวะผู้นำที่มีประสิทธิผล (Effective Leadership) การกำกับดูแลที่เข้มแข็ง (Strong Governance) ความยั่งยืนทางการเงิน (Financial Sustainability) ผลกระทบที่วัดได้ (Measurable Impact) ความร่วมมือในการทำงานร่วมกัน (Collaborative Partnerships) ความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัว (Adaptability and Resilience) และ ทีมงานเฉพาะกิจ (Dedicated Team) ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จำเป็นต่อความสำเร็จของกิจการธุรกิจเพื่อสังคม โดยเน้นถึงความจำเป็นของภารกิจทางสังคมที่ชัดเจน กลยุทธ์ที่สร้างสรรค์ และการมุ่งเน้นไปที่ตลาด ความอยู่รอดในระยะยาวขึ้นอยู่กับความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่ง การกำกับดูแลที่ดี และการเงินที่ยั่งยืน ความรับผิดชอบและการเติบโตนั้นมั่นใจได้จากผลกระทบเชิงปริมาณและความร่วมมือแบบร่วมมือกัน ความสามารถในการปรับตัว ความยืดหยุ่น และทีมงานที่มุ่งมั่นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเติบโตในสภาพแวดล้อมแบบพลวัตร สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงกลยุทธ์ซึ่งผสมผสานความเฉียบแหลมทางธุรกิจเข้ากับวัตถุประสงค์ทางสังคมเพื่อสร้างผลกระทบในระยะยาว</p> 2024-08-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ