https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/issue/feed วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2024-12-20T16:16:03+07:00 Sunan Siphai rdijournal@cpru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ รับพิจารณาตีพิมพ์บทความวิจัย (Research article) บทความวิชาการ (Academic article) และ บทความปริทัศน์ (Review article) ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความทุกเรื่องที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารจะได้รับการพิจารณาจากบรรณาธิการ กองบรรณาธิการและผ่านการ ประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) แบบ Double-blinded peer review โดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกสถาบันที่ตรงสาขาหรือเกี่ยวข้องกับสาขา 3 ท่าน</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1: มกราคม - เมษายน<br />ฉบับที่ 2: พฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3: กันยายน - ธันวาคม</p> <div><strong>ขอบเขตงาน (Aims &amp; Scope) :</strong></div> <div>ว<strong>ารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ เป็นวารสารวิชาการที่เผยแพร่เกี่ยวกับบทความวิชาการ บทความวิจัย ที่ครอบคลุมสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ โดยครอบคลุมสาขาวิชา </strong><span style="font-size: 0.875rem;">ดังต่อไปนี้</span></div> <p> - สาขาการศึกษา</p> <p> - สาขาภาษาศาสตร์</p> <p> - สาขาบริหารธุรกิจ และการจัดการ</p> <p> - สาขาเศรษฐศาสตร์</p> <p> - สาขาสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p> - สาขารัฐศาสตร์</p> <p> - สาขารัฐประศาสนศาสตร์</p> <p> - สาขานิติศาสตร์</p> <p> - สาขาจิตวิทยา</p> <p> </p> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1452 การเรียนรู้แบบสืบเสาะ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการเรียนของนักศึกษา 2024-09-30T16:07:18+07:00 สมสุข ไตรศุภกิตติ somsukrmu@gmail.com ปิยนันท์ เกตุแสง pkatesaeng@gmail.com นันทพร ยิ่งรัตนสุข Yingratanasuk1662@gmail.com วัชรา เสนาจักร์ senajuk.w@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนากิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนรู้แบบ<br />สืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์พลังงาน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม จำนวน 16 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) บทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม จำนวน 4 บทเรียน 2) แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนต่อการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ที-เทส ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) กิจกรรมการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.50/81.38 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้น ร่วมกับบทเรียนออนไลน์บนยูทูป เรื่องถ่านหินและปิโตรเลียม อยู่ในระดับมาก</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1349 การสำรวจการสื่อสารภาษาอังกฤษฐานสมรรถนะของพนักงานโรงแรม: การศึกษาวิเคราะห์ความต้องการ 2024-11-06T11:52:56+07:00 ธัญลักษณ์ คำพรหม thanyalak_kum@g.cmru.ac.th ณัฎฐา ศศิธร nadta_sas@g.cmru.ac.th อนุสรา ศิริมงคล anusara_sir@g.cmru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการในการสื่อสารภาษาอังกฤษและสำรวจสมรรถนะที่พนักงานโรงแรมจำเป็นต้องมี โดยเฉพาะพนักงานในแผนกส่วนหน้า ได้แก่ แผนกต้อนรับ พนักงานอำนวยความสะดวก พนักงานยกสัมภาระ และพนักงานในร้านอาหาร ผู้เข้าร่วมการวิจัยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ พนักงานโรงแรมจำนวน 20 คน และผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมจำนวน 2 คน โดยโรงแรมที่ทำการศึกษามีคุณภาพตั้งแต่ระดับ 3 ดาวไปจนถึง 5 ดาว การเก็บข้อมูลใช้วิธีแบบผสมผสาน รวมทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ</p> <p>ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ได้แก่ คำศัพท์เฉพาะ สำเนียงภาษาอังกฤษที่หลากหลาย ระดับของภาษาที่ใช้ในอุตสาหกรรมบริการและทักษะทางวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการโรงแรม ได้แก่ การมีจิตบริการ การแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า และบุคลิกภาพ เป็นปัญหาสำคัญในสภาพแวดล้อมนี้ อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพชี้ให้เห็นว่า แม้พนักงานโรงแรมจะมีทักษะภาษาอังกฤษเพียงพอสำหรับการทำงานในภาคการโรงแรมแต่ยังขาดทักษะเฉพาะที่จำเป็นในแต่ละแผนก รวมถึงการขาดความตระหนักรู้ทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญต่อการสื่อสารกับชาวต่างชาติ</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1390 ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2024-08-20T17:00:10+07:00 อรนุช ศรีคำ oranutsri@gmail.com ทรรศนันท์ ชินศิริพันธุ์ t.shitake@gmail.com ชนิสรา ไกรสีห์ chanitsara.ks@bru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ 2) สร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ ปีการศึกษา 2566 จาก 12 สาขาวิชา จำนวน 289 คน ด้วยการสุ่มอย่างง่าย ตัวแปรพยากรณ์ ได้แก่ คุณลักษณะของผู้เรียน คุณลักษณะผู้สอน สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ความสัมพันธ์กับครอบครัว แรงจูงใจในการเรียน และเจตคติต่อการเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ (Rating scale) ของ ลิเคิร์ท (Likert Rating Scale) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Multiple Regression) ด้วยวิธี Stepwise ผลการวิจับ พบว่า</p> <ol> <li>ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2566 พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านที่สูงที่สุด คือ ความสัมพันธ์กับครอบครัว รองลงมาเป็นด้านคุณลักษณะผู้สอน และด้านแรงจูงใจในการเรียน ตามลำดับ</li> <li>ตัวแปรพยากรณ์ที่สามารถทำนายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของนักศึกษาครู มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2566 มี 4 ปัจจัย ได้แก่ เจตคติต่อการเรียน (X<sub>6</sub>) คุณลักษณะผู้สอน (X<sub>2</sub>) ความสัมพันธ์กับครอบครัว (X<sub>4</sub>) และคุณลักษณะของผู้เรียน (X<sub>1</sub>) โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) เท่ากับ .652 สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณกำลังสอง (R<sup>2</sup>) เท่ากับ .425 สัมประสิทธิ์การพยากรณ์ (R<sup>2</sup><sub>adj</sub>) เท่ากับ .417 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบและคะแนนมาตรฐานได้ ดังนี้</li> </ol> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนดิบ</p> <p> <em>Y</em> ′= 1.354 + .829X<sub>6</sub> + .908X<sub>2</sub> + .837X<sub>4 </sub>+ .852X<sub>1</sub></p> <p> สมการพยากรณ์ในรูปคะแนนมาตรฐาน</p> <p> <em>Z</em><sub>y</sub> ′ = .202Z<sub>X6</sub> + .222Z<sub>X2</sub> + .221Z<sub>X4 </sub>+ .191Z<sub>X1</sub></p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1300 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 2024-06-27T18:57:28+07:00 ธเนศ สงวนศรี tumthanet1996@gmail.com วิเชียร รู้ยืนยง wichian2011@gmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาสภาพปัจจุบันและสภาพพึงประสงค์ 2) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารและครู จำนวน 240 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบ่งชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของสมรรถนะครูปฐมวัย มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การหาคุณภาพเครื่องมือ และค่าดัชนีความสอดคล้อง อยู่ระหว่าง 0.66 – 1.00 ค่าความเชื่อมั่น อยู่ที่ 0.95 สถิติที่ใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) และดัชนีความต้องการจำเป็น</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 5 สภาพปัจจุบันโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะครูปฐมวัยสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 5 เรียงตามลำดับ คือ ด้านสมรรถนะหลัก และด้านสมรรถนะประจำสายงาน</li> </ol> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1589 รูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานการดำเนินงานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 2024-12-06T16:37:32+07:00 ศิริทร กุลจันทร์ศรี siritorn5550@gmail.com สมบูรณ์ ตันยะ somboon_tan@vu.ac.th สงวนพงศ์ ชวนชม Sanguanpong_chu@vu.ac.th <p>วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 2) เพื่อสร้างรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 3) เพื่อประเมินความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 โดยดำเนินการวิจัยเป็น 3 ตอนได้แก่ ตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันและแนวทางการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 กลุ่มตัวอย่างเป็นหัวหน้าสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็กจำนวน 325 คน ในปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60-1.00 และค่าความเชื่อมั่น 0.774 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ตอนที่ 2 การสร้างรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ขั้นที่ 1 ผู้วิจัยนำผลการศึกษาที่ได้จาก ตอนที่ 1 มาจัดทำ (ยกร่าง) ตามแนวคิด ทฤษฎี การสร้างรูปแบบตามองค์ประกอบของรูปแบบ คือ <br />1) หลักการและเหตุผลของรูปแบบ 2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) สาระสำคัญและการดำเนินการพัฒนา <br />4) แนวทางการนำรูปแบบสู่การปฏิบัติ และ 5) เงื่อนไขความสำเร็จของรูปแบบ โดยนำผลจากการศึกษาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1</p> <p>ทุกด้านโดยพิจารณารายข้อที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ที่มีความจำเป็นในการพัฒนา ขั้นที่ 2 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒินำเสนอร่างรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 โดยผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาความเหมาะสมของรูปแบบและให้ความเห็น ขั้นที่ 3 การประเมินความเหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 เพื่อส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมของรูปแบบ วิเคราะห์ความเหมาะสมของรูปแบบการ โดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) แปลผลตามเกณฑ์ที่กำหนด ตอนที่ 3 ประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 กำหนดกลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ หัวหน้าสถานศึกษาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ที่เลือกแบบเจาะจง (Purposive Selected) จำนวน 50 คน ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ 46 ชุด คิดเป็นร้อยละ 92.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ค่าเฉลี่ย (<em>M</em>) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (<em>SD</em>) แปลผลตามเกณฑ์ที่กำหนด</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>การดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 โดยภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>รูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) หลักการและเหตุผลของรูปแบบ (2) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ (3) สาระสำคัญและการดำเนินการพัฒนา (4) แนวทางการนำรูปแบบสู่การปฏิบัติ (5) เงื่อนไขความสำเร็จของรูปแบบ ผลการประเมินความเหมาะสมของรูปแบบอยู่ในระดับมากที่สุด</li> <li>ผลประเมินความเป็นไปได้และความเป็นประโยชน์ของรูปแบบการพัฒนาการดำเนินงานตามมาตรฐานศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 อยู่ในระดับมากที่สุด</li> </ol> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1376 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการสร้างแบบจำลองวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน 2024-08-20T16:37:37+07:00 จุฑารัตน์ ประเสริฐพงษ์ jutarat1813@gmail.com ศรีสุดา พัฒจันทร์ Patjan607@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการสร้างแบบจำลองวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการสร้างแบบจำลองวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐานกับเกณฑ์ร้อยละ 60 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคา 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การเกิดสุริยุปราคาและจันทรุปราคา และ 3) แบบประเมินผลงานของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการสร้างแบบจำลองของวิลค็อกสันแบบ Wilcoxon Test for 2 Related Samples และแบบ Wilcoxon Signed Rank Test for One Sample</p> <h4> ผลการวิจัยพบว่า</h4> <h4> 1. ผลการเปรียบเทียบสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการสร้างแบบจำลองวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน<br />ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐานสูงกว่าก่อนใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </h4> <h4> 2. ผลการเปรียบเทียบสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการสร้างแบบจำลองวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียน<br />ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบจำลองเป็นฐาน สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</h4> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1332 ผลของการจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทาน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ในการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2024-07-11T16:43:55+07:00 พทิดา ธงกิ่ง aapatida@gmail.com ประณต นาคะเวช pranod_nak@vu.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านคำควบกล้ำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทาน 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนชุมชนบ้านประโดก-โคกไผ่ (สถิตย์วิริยะคุณ) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทาน 2 แผน แผนละ 4 ชั่วโมง รวม 8 ชั่วโมง แบบวัดผลสัมฤทธิ์ในการอ่านคำควบกล้ำ จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้การจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสถิติ t-test dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>1) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการอ่านคำควบกล้ำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทานหลังเรียนมีค่าสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p>2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ Picture Word Inductive Model (PWIM) ร่วมกับนิทานโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1489 การพัฒนาคลังสมรรถนะภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ที่บูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม และสุขศึกษาและพลศึกษา สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา 2024-10-19T23:31:05+07:00 รุ่งทิวา พลชำนิ roungtiwa987@gmail.com สิรินาถ จงกลกลาง sirinat.j@nrru.ac.th นาตยา ปิลันธนานนท์ fedunyp@ku.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประยุกต์ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคลังสมรรถนะภาษาไทยเพื่อการสื่อสารที่บูรณาการกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม และสุขศึกษาและพลศึกษา และประเมินความสามารถของครูในการวางแผนการจัดการเรียนรู้ จากคลังสมรรถนะที่พัฒนาขึ้น สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา กลุ่มเป้าหมายได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ในการประเมินความสอดคล้องเหมาะสมและความเป็นไปได้ของคลังสมรรถนะ และครูผู้สอนภาษาไทย ระดับประถมศึกษา จำนวน 8 คน ในการประเมินความสามารถในการวางแผนการจัดการเรียนรู้จากคลังสมรรถนะ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า ได้คลังสมรรถนะภาษาไทยเพื่อการสื่อสารที่ประกอบด้วย คลังงานระดับชั้นละ 10 งาน รวมทั้งหมด 60 งาน เมื่อนำไปประเมิน มีความสอดคล้องเหมาะสมและความเป็นไปได้ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อนำไปใช้กับครูกลุ่มเป้าหมาย พบว่า ครูสามารถวางแผนการจัดการเรียนรู้ จากคลังสมรรถนะภาษาไทยเพื่อการสื่อสารครั้งนี้ โดยครูเลือกระดับชั้น เรื่องที่จะสอน ประเภทของงานเขียน เวลาเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล ได้สอดคล้องกับระดับชั้น บริบทของผู้เรียน และธรรมชาติของรายวิชา</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1352 ผลการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw II หน่วยการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม สาระภูมิศาสตร์ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2024-07-24T15:13:12+07:00 ภาวินี บัณฑิต b.pawineee@gmail.com ศิริพร พึ่งเพ็ชร์ siriporn_phu@vu.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw II 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw II กับเกณฑ์ร้อยละ 80 และ 3) เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านหนองพลวง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 26 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม ระดับชั้นประถมศึกษา<br />ปีที่ 5 โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw II ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ระดับพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค Jigsaw II มีค่าเฉลี่ย 4.13 อยู่ในระดับดี</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1329 การพัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างสมรรถนะครูปฐมวัยด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ระดับชั้นเรียนแบบเด็กนักวิจัยเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย 2024-07-05T16:35:45+07:00 วิภารัตน์ อิ่มรัมย์ wiparatoiw1929@gmail.com วิไลวรรณ ศิริเมฆา Wilaiwan.sr@bru.ac.th ธนากร เทียมทัน thanakorn.tt@bru.ac.th กัลยา พวงมะลิ Kanlaya.pm@bru.ac.th สุทิศา โขงรัมย์ suthisa.kr@bru.ac.th ชนิสรา ไกรสีห์ ajchanitsara@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและศึกษาผลการทดลองใช้หลักสูตรเสริมสร้างสมรรถนะครูปฐมวัยด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียนแบบเด็กนักวิจัยเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย การดำเนินการวิจัยมี 3 ระยะ ได้แก่ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสมรรถนะครูปฐมวัยด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียน 2) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม 3) ทดลองและศึกษาผลการทดลองใช้หลักสูตร กลุ่มเป้าหมายในการทดลองใช้หลักสูตร เป็นครูผู้สอนในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 3 ภาคการศึกษาที่ 2ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนในเครือข่ายฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ เอกสารหลักสูตรอบรมและคู่มือประกอบการใช้หลักสูตรอบรม แบบสอบถามประเมินความเหมาะสมและเป็นไปได้เกี่ยวกับกรอบสมรรถนะครูปฐมวัย แบบทดสอบสมรรถนะครูปฐมวัยด้านความรู้ แบบประเมินสมรรถนะครูปฐมวัยด้านทักษะ แบบวัดสมรรถนะครูปฐมวัยด้านคุณลักษณะ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1. กรอบสมรรถนะครูปฐมวัยด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียนแบบเด็กนักวิจัยเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ประกอบด้วย 3 สมรรถนะหลัก 10 สมรรถนะย่อย 36 ตัวบ่งชี้ ได้แก่ ด้านความรู้ จำนวน 5 สมรรถนะ ด้านทักษะ จำนวน 2 สมรรถนะ และด้านคุณลักษณะ จำนวน 3 สมรรถนะ ในภาพรวมทั้งหมดมีความเหมาะสมและเป็นไปได้มากที่สุด (<em>M</em> = 4.70 , <em>SD</em> = 0.43) 2. หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีจำนวน 8 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) ความเป็นมาของหลักสูตร 2) หลักการของหลักสูตร 3) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 4) สมรรถนะครูปฐมวัยด้านการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียน 5) โครงสร้างเนื้อหาของหลักสูตร 6) กิจกรรมหลักสูตร 7) สื่อและแหล่งเรียนรู้ประกอบหลักสูตร 8) การวัดและประเมินผลหลักสูตร จากผลการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรอบรมโดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า องค์ประกอบของร่างหลักสูตรหลักสูตร มีค่าเฉลี่ยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.68, <em>SD</em>. = 0.46) และมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ระหว่าง 0.57-1.00 และร่างคู่มือการใช้หลักสูตรเสริมสร้างสมรรถนะครูปฐมวัยฯ มีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.68, <em>SD</em> = 0.44) 3. ผลการทดลองใช้หลักสูตร พบว่า 1) สมรรถนะด้านความรู้หลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม 2) สมรรถนะด้านทักษะหลังการฝึกอบรม มีค่าเฉลี่ยรวมทั้ง 2 สมรรถนะ อยู่ในระดับดีมาก (<em>M</em> = 4.70, <em>SD</em> = 0.10) 3) สมรรถนะด้านคุณลักษณะหลังการอบรมมีค่าเฉลี่ยรวมทั้ง 3 สมรรถนะ อยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.54, <em>SD</em> = 0.03) นอกจากนั้นครูยังมีความพึงพอใจต่อการใช้หลักสูตรอบรมอยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em> = 4.69, <em>SD</em> = 0.46)</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1509 การออกแบบบอร์ดเกมวิชาสังคมศึกษา: บอร์ดเกม “ความดี” สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2024-11-20T14:27:34+07:00 วิษณุ สุทธิวรรณ witsanu@vru.ac.th อัครพล อนุพันธ์ akaraponanu@mcru.ac.th <p>บอร์ดเกมกำลังเป็นที่นิยมและนำเข้ามาใช้ในการศึกษาของประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาสังคมศึกษาซึ่งเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับศาสนาส่วนมากมีความเป็นนามธรรมส่งผลให้นักเรียนเกิดความเบื่อหน่ายและเข้าใจเนื้อหายาก ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาและออกแบบบอร์ดเกม “ความดี” สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้ครูที่มีความสนใจไว้ใช้ในการจัดการเรียนรู้ การวิจัยนี้ออกแบบการวิจัยแบบผสานวิธีโดยใช้การประชุมผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน โดยคัดเลือกจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์เกี่ยวกับการใช้เกมการสอนเพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและนำมาปรับปรุงแก้ไขและใช้แบบประเมินความเหมาะสมของบอร์ดเกมเพื่อหาระดับความเหมาะสมโดยใช้แบบประเมินความเหมาะสมของบอร์ดเกมเพื่อการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาในกรณีของการประชุมผู้เชี่ยวชาญ และใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในการแปลผลข้อมูลจากแบบประเมิน ผลการวิจัยพบว่ามีองค์ประกอบ 5 ส่วน ดังนี้ <br />1) ส่วนนำ (ข้อมูลเกม) 2) กติกาเกม 3) บัตรคำถาม-คำตอบ 4) บัตรเสี่ยงโชค และ 5) กระดานเกม บอร์ดเกมมีจุดเด่นคือกลไกเกมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้โดยการเล่นเกม บัตรคำถามช่วยให้นักเรียนเรียนรู้เนื้อหาและบัตรเสี่ยงโชคช่วยให้นักเรียนเกิดความท้าทาย ผลการประเมินความเหมาะสมของบอร์ดเกมอยู่ในระดับ<br />ดีมาก</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1536 การใช้กลวิธีนั่งร้านเพื่อแก้ปัญหาด้านการอ่านออกเสียงและการเขียนคำของ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา 2024-11-13T14:31:04+07:00 อภิชญา ชัยมาตร์ sapibams55@gmail.com นิลรัตน์ โคตะ noinin41@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้โดยกลวิธีนั่งร้าน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบทักษะด้านการอ่านออกเสียงของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ที่เรียนโดยกลวิธีนั่งร้านก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ศึกษาพัฒนาการด้านการอ่านออกเสียง ของนักเรียนระดับประถมศึกษาโดยใช้กลวิธีนั่งร้าน 4) เปรียบเทียบทักษะด้านการเขียนคำ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา ที่เรียนโดยกลวิธีนั่งร้านก่อนเรียนและหลังเรียน 5) ศึกษาพัฒนาการด้านการเขียนคำ ของนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยใช้กลวิธีนั่งร้าน กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาไทย มีปัญหาและอุปสรรคในการเรียนด้านทักษะการอ่านออกเสียง และการเขียนคำ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านนางแดดเหนือ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 จำนวน 4 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้การแก้ปัญหาทักษะด้านการอ่านออกเสียงและการเขียนคำของนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยกลวิธีนั่งร้าน จำนวน 15 แผน 2) แบบทดสอบวัดทักษะด้านการอ่านออกเสียง สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 20 ข้อ 3) แบบทดสอบวัดทักษะด้านการเขียนคำ สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าร้อยละ</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยกลวิธีนั่งร้าน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 70.25/71.25</p> <p>2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยกลวิธีนั่งร้าน มีทักษะด้านการอ่านออกเสียงหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> <p>3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยกลวิธีนั่งร้าน มีพัฒนาการด้านการอ่านออกเสียง สูงขึ้นตามลำดับในเกณฑ์ดี</p> <p>4) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยกลวิธีนั่งร้าน มีทักษะด้านการเขียนคำ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน</p> <p>5) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยกลวิธีนั่งร้าน มีพัฒนาการด้านการเขียนคำ สูงขึ้นตามลำดับในเกณฑ์ดี</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1305 การสังเคราะห์งานวิจัยที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนระดับมัธยมศึกษา: การวิเคราะห์อภิมาน 2024-08-09T15:46:05+07:00 บุญฑริกา สร้อยจิตร boontarika.soyjit@gmail.com เบญจมาภรณ์ เสนารัตน์ senarat_b@yahoo.com คันธทรัพย์ ชมพูพาทย์ triluk3@hotmail.com <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณลักษณะของงานวิจัย ศึกษาค่าขนาดอิทธิพลของงานวิจัยที่เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน และเปรียบเทียบค่าขนาดอิทธิพลของกลุ่มวิธีการสอน 3 วิธีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ตัวอย่างเป็นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ปี พ.ศ. 2559 ถึง 2566 จำนวน 70 เล่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบประเมินคุณภาพงานวิจัย และแบบบันทึกคุณลักษณะงานวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>คุณลักษณะของงานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในระดับมากที่สุด คือ เพศหญิง งานวิจัยระดับปริญญาโท ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2560มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ และวิธีวิทยาการวิจัยระดับมากที่สุด คือ วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ ประชากร 200 คนขึ้นไป ใช้วิธีสอนแบบสะเต็มศึกษา แนวคิดการประมวลผลสารสนเทศ ตัวแปรต้นและตัวแปรตาม 1 ถึง 2 ตัวแปร ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม แบบแผนการวิจัยก่อนทดลอง วิเคราะห์ความตรงเชิงเนื้อหา ความเที่ยงของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน และสถิติ t แบบกลุ่มสัมพันธ์</li> <li>ขนาดอิทธิพลของงานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา พบว่า กลุ่มวิธีการสอนทั้ง 3 วิธี มีค่าเฉลี่ยขนาดอิทธิพล 3.44 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2.22</li> <li>เปรียบเทียบค่าขนาดอิทธิพลของกลุ่มวิธีการสอน 3 วิธี เพื่อพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา พบว่า ค่าขนาดอิทธิพลของกลุ่มวิธีการสอนทั้ง 3 วิธี ไม่แตกต่างกัน ที่นัยสำคัญทางสถิติระดับ .05</li> </ol> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1588 องค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา 2024-11-26T12:22:48+07:00 กิจปกรณ์ คำเดช kijpakorn.ku66@snru.ac.th วาโร เพ็งสวัสดิ์ khaitoy8@gmail.com วันเพ็ญ นันทะศรี wanphen48@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ซึ่งมีวิธีการดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษาจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง จำนวน 10 แหล่ง เพื่อสังเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน 2) สัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คนเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา และ 3) ผู้เชี่ยวชาญ 5 คน ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ขององค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียน โดยทำการวิจัยในพื้นที่จังหวัดสกลนคร ปีการศึกษา 2567 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสังเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์และแบบประเมินชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า 1) องค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษา มี 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) การเป็นผู้นำตนเอง (2) การเป็นแบบอย่างที่เป็นผู้นำตนเอง (3) การกระตุ้นการตั้งเป้าหมายด้วยตนเอง (4) การสร้างรูปแบบความคิดทางบวก (5) การพัฒนาภาวะผู้นำตนเองโดยการให้รางวัลและตำหนิอย่างสร้างสรรค์ (6) การสนับสนุนให้เกิดภาวะผู้นำตนเองโดยการสร้างทีมงาน และ (7) การอำนวยความสะดวกให้เกิดวัฒนธรรมของผู้นำตนเอง และ 2) ผลการตรวจสอบความเหมาะสมและความเป็นไปได้ พบว่า องค์ประกอบภาวะผู้นำเหนือผู้นำของผู้บริหารโรงเรียนประถมศึกษามีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และมีความเป็นไปได้ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1481 การพัฒนาความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ สำหรับครูและบุคลากรในโรงเรียนขนาดเล็ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 2024-10-07T10:41:30+07:00 พีรญา ทองเฉลิม Phiraya.t@ubru.ac.th วชิระ โมราชาติ wachira.m@ubru.ac.th ศิริลักษณ์ วัฒนสิริน sirilakboo@mcru.ac.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาชุดฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้สำหรับครูและบุคลากรในโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. อุบลราชธานี เขต 1 2) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ สำหรับครูและบุคลากรในโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. อุบลราชธานี เขต 1 และ 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูและบุคลากรที่เข้ารับการพัฒนาที่มีต่อกิจกรรมการอบรม กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 51 คน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 จำนวน 3 โรงเรียน <br />ซึ่งเป็นโรงเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรมโดยสมัครใจในโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก จังหวัดอุบลราชธานี ปีงบประมาณ 2567 ของคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ชุดฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ และแบบสอบถามความพึงพอใจของครูและบุคลากรที่เข้ารับการพัฒนาที่มีต่อกิจกรรมการอบรม โดยดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ 1) การพัฒนาชุดฝึกอบรม 2) การประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของเครื่องมือวิจัย และ 3) การดำเนินการฝึกอบรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ผลการพัฒนาชุดฝึกอบรมเพื่อส่งเสริมความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้สำหรับครูและบุคลากรในโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. อุบลราชธานี เขต 1 พบว่า มีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก</p> <p>2) ผลการศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้สำหรับครูและบุคลากรในโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. อุบลราชธานี เขต 1 พบว่า ความสามารถการใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ โดยรวมเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงมาก (คะแนนเฉลี่ยก่อนฝึกอบรมเท่ากับ 9.67 คะแนนเฉลี่ยหลังฝึกอบรมเท่ากับ 18.34 คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์เท่ากับ 84.07)</p> <p>3) ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูและบุคลากรในโรงเรียนขนาดเล็ก สพป. อุบลราชธานี เขต 1 ที่เข้ารับการพัฒนาที่มีต่อกิจกรรมการอบรม อยู่ในระดับมากที่สุด</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1447 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และวิธีการทางประวัติศาสตร์ของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา 2024-10-04T13:05:32+07:00 จุฬาพร ศรีรังสรรค์ chulaporn.sri@mail.pbru.ac.th <p>วัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบ 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และวิธีการทางประวัติศาสตร์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี สาขาวิชาสังคมศึกษาชั้นปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 คน โดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม แล้วสุ่มอย่างง่ายอีกครั้งหนึ่ง โดยวิธีการจับฉลากเป็นกลุ่มทดลองที่ 1 ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และกลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E แผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์และ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้วิธีทางสถิติ t-test แบบ Dependent</p> <ol> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 01</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการทางประวัติศาสตร์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ 01</li> <li class="show">ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท้องถิ่นศึกษาของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้แบบ 5E และวิธีการทางประวัติศาสตร์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ 01</li> </ol> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1469 แนวทางการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชนอย่างยั่งยืน จังหวัดชัยภูมิ 2024-10-19T01:05:47+07:00 ประมุข ศรีชัยวงษ์ pramuk.sri@neu.ac.th โชติกา สิงหาเทพ chotika.sin@neu.ac.th พจ ตู้พจ supatachawut.too@neu.ac.th พงษ์เมธี ไชยศรีหา pongmetee.cha@neu.ac.th ภานุวัฒน์ กิตติกรวรานนท์ รัตนพิมลพลแสน Panuwat.kit@neu.ac.th ศิริพรรัชดา ภักดียิ่ง ratchada.p@neu.ac.th <p>การวิจัยเรื่อง แนวทางของการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชนอย่างยั่งยืน จังหวัดชัยภูมิ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชน 2) เพื่อศึกษาผลกระทบจากการการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และ 3) เพื่อศึกษาแนวทางของการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชนอย่างยั่งยืน เก็บข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณจากประชาชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่วิจัย จำนวน 200 คน และเชิงคุณภาพจากผู้มีส่วนได้เสียจากการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชนในการสนทนากลุ่มย่อยจำนวน 12 คน และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 6 คน เพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศอย่างยั่งยืน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการศึกษาวิจัย คือผลการวิเคราะห์สภาพการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชน พบว่าความคิดเห็นของประชาชนด้านการบริหารจัดการท่องเที่ยวชุมชนในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อวิเคราะห์รายด้าน พบว่าด้านสังคม ประเพณี วัฒนธรรมชุมชน มีคะแนนค่าเฉลี่ยสูงที่สุด รองลงมาคือ สิ่งแวดล้อม ด้านการบริการนักท่องเที่ยว และด้านเศรษฐกิจชุมชน ตามลำดับ ผลการศึกษาผลกระทบจากการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชน ในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมพบว่า ด้านเศรษฐกิจ ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น มีงานทำในท้องถิ่น ได้รับการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก และเอกลักษณ์ชุมชนเพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว ส่วนผลกระทบด้านลบยังเกิดความเหลื่อมล้ำในชุมชนและการแสวงหาผลประโยชน์จากกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ผลกระทบด้านสังคม/ประเพณี/วัฒนธรรม พบว่าประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการท่องเที่ยวของชุมชน สามารถปรับตัวและนำเอาภูมิปัญญา ประเพณีวัฒนธรรมตลอดจนเอกลักษณ์ชุมชนมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ส่วนผลกระทบในด้านลบพบว่าเกิดความเหลื่อมล้ำในชุมชน และชุมชนใกล้เคียงที่ไม่ได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ขาดการมีส่วนร่วมและเกิดความขัดแย้งในชุมชน มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหายาเสพติด ในด้านสิ่งแวดล้อมพบว่าเกิดการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นระเบียบสวยงาม บ้านพักอาศัย ห้องน้ำให้ถูกสุขลักษณะ อาหารสะอาดถูกสุขอนามัย ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในการดูรักษาสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ส่วนผลกระทบด้านลบในด้านสิ่งแวดล้อม พบว่ามีปริมาณขยะมูลฝอย และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ สำหรับแนวทางของการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศโดยชุมชนให้เกิดความยั่งยืนนั้น มีแนวทางดังนี้ คือ 1) นโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยว ต้องกำหนดแผนงานการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนที่ชัดเจน มีความต่อเนื่องและให้บทบาทกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาการท่องเที่ยว 2) การมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและนิเวศในชุมชน 3) กิจกรรมการท่องเที่ยว เน้นวิถีชีวิต วิถีชุมชน เอกลักษณ์ชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักท่องเที่ยว ในด้านกิจกรรมการเกษตรและเรียนรู้ระบบนิเวศ สิ่งแวดล้อมชุมชน ที่สมดุลและยั่งยืน 4) สร้างระบบระบบกลไกการบริหารจัดการท่องเที่ยวที่ดี มีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม <br />ลดความเหลื่อมล้ำในชุมชนในรูปของคณะกรรมการซึ่งมีหน่วยภาครัฐเป็นที่ปรึกษา 5) การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในท้องถิ่น และ 6) การส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรในท้องถิ่น</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1322 การสร้างสรรค์นาฏยอลังการบนฐานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ภูมิภาคตะวันตก: กรณีศึกษา การแสดงชุด ศรัทธาแห่งพุน้ำร้อน อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี 2024-07-26T11:10:28+07:00 กรวิภา เลาศรีรัตนชัย Kornwipanamtan@webmail.npru.ac.th ฺบงกช ทิพย์สุมณฑา bongkoch0302@gmail.com <p>การสร้างสรรค์นาฏยอลังการบนฐานวัฒนธรรมชาติพันธุ์ภูมิภาคตะวันตก: กรณีศึกษา การแสดงชุด ศรัทธาแห่งพุน้ำร้อน อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี มีวัตถุประสงค์งานวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาบริบท ศิลปวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ภูมิภาคตะวันตก 2) เพื่อสร้างสรรค์ศิลปะการแสดงโดยชุมชนบนฐานทุนวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ภูมิภาคตะวันตก พื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ชุมชนบ้านพุน้ำร้อน จังหวัดราชบุรี โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) และการปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research : PAR) มีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ชุมชน การประชุมกลุ่มย่อย แบบประเมินการแสดงและแบบสอบถามนักท่องเที่ยว โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์การแสดงชุด ศรัทธาแห่งพุน้ำร้อน ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในชุมชนบ้านพุน้ำร้อน อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี มีวิถีชีวิตอยู่คู่กับสายน้ำสำคัญ 3 แหล่ง ได้แก่ 1) น้ำฝน 2) น้ำจากอ่างเก็บน้ำพระราชทาน และ3) น้ำจากบ่อน้ำพุร้อน ชาวกะเหรี่ยงส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา อีกทั้งยังมีศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญคือ การละเล่นกระทบไม้ ที่ถือเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์ นำมาถ่ายทอดผ่านทางการแสดงและองค์ประกอบการแสดงได้แก่ แนวคิด ดนตรี เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบการแสดง ผู้แสดง รวมไปถึงท่ารำที่ใช้ในการแสดง เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับชุมชนและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงไว้ให้คงอยู่คู่กับชุมชนต่อไป</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1167 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดงานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม : กรณีศึกษา ประเพณีแห่ดาว ตำบลท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร 2024-04-10T15:47:05+07:00 วรเมธ ยอดบุ่น worameta.y@ku.th ปิยะนุช หาทำ piyanut.h@ku.th <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดงานท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเพณีแห่ดาว ตำบลท่าแร่ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร (2) ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการจัดงานประเพณีแห่ดาว (3) ศึกษาแนวทางและข้อเสนอแนะในการจัดงานประเพณีแห่ดาว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ มีเทคนิควิจัยที่สำคัญ ได้แก่ การสังเกตและการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่รัฐ 4 คน ผู้นำทางศาสนา 1 คน ผู้นำชุมชน 8 คน และประชาชนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ทั้งชายและหญิงที่อาศัยอยู่พื้นที่ตำบลท่าแร่ จำนวน 15 คน รวมทั้งสิ้น 28 คน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมในการจัดงานประเพณีเเห่ดาว โดยมีส่วนร่วมทั้ง 4 ด้าน คือ (1) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ คือจะมีการจัดประชุมอย่างน้อย 3 ครั้ง เพื่อเป็นการตกผลึกในการจัดงานและกำหนดหลักเกณฑ์ร่วมกัน (2) การมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนร่วมในการจัดงาน เช่น การมีส่วนร่วมในการแสดงประวัติการประสูติของพระเยซู การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดงาน การมีส่วนร่วมในขบวนแห่ดาว การบริหารจัดสรรงบประมาณ (3) การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐมีความภาคภูมิใจในการจัดงาน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในชุมชน (4) การมีส่วนร่วมในการประเมินผล องค์การบริหารส่วนจังหวัดสกลนครและเทศบาลตำบลท่าแร่ มีแบบประเมินผลของหน่วยงานตัวเองเพื่อสำรวจความพึงพอใจและนำผลการประเมินมาใช้เป็นแนวทางในการจัดงานครั้งถัดไป 2) ปัญหาและอุปสรรคในการจัดงานประเพณีแห่ดาว เช่น ปัญหาการจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ ปัญหาที่ทิ้งขยะไม่เพียงพอ กิจกรรมมีรูปแบบกิจกรรมเดิม ๆ ไม่มีความแปลกใหม่และหลากหลาย ปัญหาการจราจรติดขัดทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และ 3) แนวทางและข้อเสนอแนะในการจัดงานประเพณีแห่ดาวในครั้งถัดไป ได้เเก่ (1) เทศบาลตำบลท่าแร่และหน่วยงานภาครัฐควรจะเสนองบประมาณให้เพียงพอและเหมาะสม (2) ควรนำถุงดำหรือถุงขยะไปกระจายไว้ใน<br />จุดต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว (3) ควรเพิ่มเติมกิจกรรมใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว (4) ควรเพิ่มการดูแลการจราจรให้มากขึ้นเพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุบนท้องถนน</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1440 ปัจจัยความสำเร็จที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ 3 2024-09-16T11:58:07+07:00 จักรกฤต อภิลาภ j.lr@windowslive.com ดารัณ พราหมณ์แก้ว kukkik51@hotmail.com <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัจจัยความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 2) การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 3) ศึกษาปัจจัยความสำเร็จที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และ 4) เสนอแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ 3 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บุคลากรของกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ 3 เพชรบุรี จำนวน 138 คน โดยการสุ่มแบบง่าย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <br />วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้เครื่องมือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก กับผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 15 คน เลือกแบบเจาะจง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า1) ปัจจัยความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยความสำเร็จที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐของกลุ่มอำนวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ 3 ได้แก่ มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำนวน 4 ตัว ด้านระบบขององค์กร (X<sub>3</sub>) ด้านค่านิยมร่วมขององค์กร (X<sub>7</sub>) ด้านรูปแบบการบริหารขององค์กร (X<sub>4</sub>) ด้านทักษะขององค์กร (X<sub>6</sub>) ซึ่งส่งทางบวกทุกตัวมีประสิทธิภาพในการทำนายร้อยละ 73.50 นำมาเขียนเป็นสมการถดถอยได้ดังนี้ <img id="output" src="https://latex.codecogs.com/svg.image?\hat{Y}" alt="equation" /><sub>tot</sub> = 1.790+.135 (X<sub>3</sub>) + .162 (X<sub>7</sub>) + .141 (X<sub>4</sub>) + .138 (X<sub>6</sub>) 4) ควรให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาทักษะในด้านการศึกษา เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ตนเองในการเตรียมความพร้อมในการเลื่อนระดับตำแหน่งที่สูงขึ้น ควรการจัดทำข้อมูลและแผนการพัฒนาบุคลากรให้มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม และครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหางานล้นคน และให้ความสำคัญกับการทำงานเชิงรุกเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน</p> 2024-12-20T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ