https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/issue/feed วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2024-04-29T18:54:30+07:00 Sunan Siphai [email protected] Open Journal Systems <p>วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ รับพิจารณาตีพิมพ์บทความวิจัย (Research article) บทความวิชาการ (Academic article) และ บทความปริทัศน์ (Review article) ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1: มกราคม - เมษายน<br />ฉบับที่ 2: พฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3: กันยายน - ธันวาคม</p> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/880 การบริหารแหล่งการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ 2023-10-25T11:01:20+07:00 นภาเดช บุญเชิดชู [email protected] ชัยยุธ มณีรัตน์ [email protected] <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวคิดและความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ การจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาผู้เรียน และการบริหารแหล่งการเรียนรู้ และสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ในการจัดการศึกษา เพื่อให้นักวิชาการและผู้สนใจสามารถนำไปใช้ในการบริหารแหล่งการเรียนรู้ การวิจัย และการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนและพัฒนาวิชาชีพของครูและผู้บริหารได้ โดยแหล่งการเรียนรู้มีด้วยกันหลายรูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์กีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล วิทยากร ภูมิปัญญาชาวบ้าน ประสบการณ์ของบุคคล และในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคดิจิทัลแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญคือแหล่งการเรียนรู้ที่เป็นออนไลน์ต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และใช้ประโยชน์จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลายเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ สถานศึกษาจึงต้องมีการดำเนินการเพื่อให้เกิดแหล่งเรียนรู้ขึ้นในสถานศึกษาและจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับการพัฒนาผู้เรียน</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/941 APPLYING TECHNOLOGY IN ACTIVE LEARNING MANAGEMENT 2023-12-14T16:28:14+07:00 จิรัฐติกร สีพาย [email protected] รศ.ดร.สัญญา เคณาภูมิ [email protected] <p>The application of technology in active learning management (PLM) has brought about change in education. Reshaping the dynamics of facilitation and learning experiences Helping educators and institutions to create an active and dynamic learning environment. With a clear goal data analysis Personal learning experience and early intervention, it is a key elements for effective implementation. Continuous professional development Strong institutional support, and proactive measures are important considerations to ensure students are technology-ready. Trends in the use of technology with PLM emphasize data-driven decision-making. continuous innovation and ability to adapt Emerging tools and methods such as artificial intelligence virtual reality and an adaptive learning platform. It offers exciting possibilities for a personalized and engaging learning experience. Cultivating a collaborative digital ecosystem and fostering a culture of innovation within educational institutions is also a key trend in technology convergence and active learning strategies. However, the future of education lies in the seamless integration of technological advancements. To meet the diverse needs of learners and seek educational excellence.</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1028 การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และความไว้วางใจ ที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนของผู้บริโภคในเขตภาคเหนือของประเทศไทย 2024-01-23T15:41:09+07:00 Yuxin Li [email protected] นภาวรรณ เนตรประดิษฐ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ความไว้วางใจ และความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนของผู้บริโภคในเขตภาคเหนือของประเทศไทย (2) ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนของผู้บริโภคในเขตภาคเหนือของประเทศไทย <br />กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภควัยทำงาน อายุ 20-60 ปี ที่มีความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีน จำนวน 385 คน เครื่องมือ คือ แบบสอบถามออนไลน์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย สถิติพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติอนุมาน ได้แก่ การถดถอยพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ระดับความคิดเห็นการสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการด้านการโฆษณา การขายโดยใช้พนักงาน การส่งเสริมการขาย การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ การตลาดทางตรง ความไว้วางใจ และความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนอยู่ในระดับมาก การตลาดแบบบูรณาการด้านการตลาดทางตรง (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" /> = 0.263) การส่งเสริมการขาย (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" /> = 0.162) การขายโดยใช้พนักงาน ( <img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" />= 0.158) ความไว้วางใจ (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" /> = 0.146) การโฆษณา (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" /> = 0.133) และการให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ (<img title="\beta" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\beta" /> = 0.091) มีผลต่อความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนของผู้บริโภคในเขตภาคเหนือของประเทศไทย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สามารถทำนายความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนของผู้บริโภคในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ได้ร้อยละ 71.7 ผู้ประกอบการด้านยานยนต์ไฟฟ้าและภาครัฐที่ดูแลด้านพลังงานควรประยุกต์ใช้การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ และความไว้วางใจ ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดให้ผู้บริโภคมีความตั้งใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์จีนต่อไป</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1039 ผลของการสอนด้วยการเล่าเรื่องที่มีต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2024-02-06T14:07:57+07:00 จุฬาลักษณ์ ปัชมาชัยวัฒน์ [email protected] มาลินี ไพบูลย์นุกูลกิจ [email protected] <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลของการสอนด้วยการเล่าเรื่องที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มี ความบกพร่องทางสติปัญญา 2) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของผลสัมฤทธิ์การเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กับเกณฑ์ร้อยละ 50 และ 3) สำรวจความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้การสอนด้วยการเล่าเรื่อง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จำนวน 10 คน จากโรงเรียนอุบลปัญญานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี โดยใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการสอน โดยใช้การสอนด้วยการเล่าเรื่อง แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้การสอนด้วยการเล่าเรื่องสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย, ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน, Kolmogorov-Smirnov test, t-test และการวิเคราะห์เนื้อหา </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้การสอนด้วยการเล่าเรื่องสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 คะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 50 อย่างมีนัยสำคัญ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้การสอนด้วยการเล่าเรื่องอยู่ในระดับ<br />พึงพอใจอย่างยิ่งที่ระดับ (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" /> = 4.82) แสดงให้เห็นว่าการเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้การสอนด้วยการเล่าเรื่องสามารถเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียน</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/885 การพัฒนาบทเรียนออนไลน์ภาษาญี่ปุ่น ระดับเบื้องต้น เพื่อพัฒนาทักษะการฟังและ ทักษะการพูด ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร 2023-10-25T11:04:44+07:00 ปฐมาวดี ขวัญสันเทียะ [email protected] สิรินาถ จงกลกลาง [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนออนไลน์ภาษาญี่ปุ่น ระดับเบื้องต้น ตามแนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 <br />2) เปรียบเทียบทักษะการฟัง ระดับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จากการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 3) เปรียบเทียบทักษะการพูด ระดับเบื้องต้น ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จากการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนปิ่นนรินทร์วิทยา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 16 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บทเรียนออนไลน์ภาษาญี่ปุ่น ระดับเบื้องต้น ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ แบบวัดทักษะการฟังและการพูด สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า <br />1) ผลการพัฒนาและหาประสิทธิภาพบทเรียนออนไลน์ภาษาญี่ปุ่น ระดับเบื้องต้น ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร มีประสิทธิภาพ (E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub>) เท่ากับ 82.81/84.03 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรที่กำหนดไว้ 2) ทักษะการฟังของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จากการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ภาษาญี่ปุ่น ระดับเบื้องต้น ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ทักษะการพูดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จากการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนออนไลน์ภาษาญี่ปุ่น ระดับเบื้องต้น ตามแนวคิดการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/913 การศึกษาข้อผิดพลาดการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต แขนงหลักสูตรและการสอน เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2024-01-19T14:11:58+07:00 ศิตา เยี่ยมขันติถาวร [email protected] Jareeluk Ratanaphan [email protected] <p>แผนการสอนเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับครูผู้สอนทุกระดับ โดยทั่วไปแผนการสอนประกอบด้วยวัตถุประสงค์ เนื้อหา การปฏิบัติในห้องเรียน การวัดประเมินผลตาม วัตถุประสงค์การเรียนรู้ และการสะท้อนความรู้หลังการเรียนการสอน การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาข้อผิดพลาดในการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต แขนงหลักสูตรและการสอน เอกภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมาย คือ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต ประจำปีการศึกษา 2565 ภาคการศึกษาปลาย ที่ลงทะเบียนชุดวิชา 20596 การฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู เอกภาษาอังกฤษ จำนวน 10 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการแบบประเมินแผนจัดการเรียนรู้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินแผนจัดการเรียนรู้ จากการศึกษาพบว่า ข้อผิดพลาดการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรบัณฑิตประกอบด้วย 1) จุดประสงค์การเรียนรู้ 2) การกำหนดสาระสำคัญ/เนื้อหาสาระ การเขียนขั้นตอนการสอน 3) การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน 4) สื่อและแหล่งเรียนรู้ 5) การวัดและประเมินผล</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/975 การพัฒนาความสามารถการอ่านและการเขียนภาษาไทย เรื่อง สนุกสนานอ่านเขียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC 2024-01-08T15:45:25+07:00 อ้อยใจ เพิ่มประโคน เพิ่มประโคน [email protected] ศิริพร พึ่งเพ็ชร์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านและการเขียนภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง สนุกสนานอ่านเขียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านและการเขียนภาษาไทย เรื่อง สนุกสนานอ่านเขียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC กับเกณฑ์ร้อยละ 60 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนบ้านกระเดื่อง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC แบบทดสอบปรนัยชนิดเลือกตอบ วัดความสามารถการอ่านภาษาไทย จำนวน 20 ข้อ และแบบทดสอบอัตนัยวัดความสามารถการเขียนภาษาไทย จำนวน 1 เรื่อง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test for Dependent Sample และ t-test One Sample</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความสามารถการอ่านและการเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง สนุกสนานอ่านเขียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>ความสามารถการอ่านและการเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนเรื่อง สนุกสนานอ่านเขียน โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC คิดเป็น ร้อยละ 73.43 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 60 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/968 การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน 2024-01-25T15:27:45+07:00 สุดารัตน์ เครือกลาง [email protected] ชวนพิศ รักษาพวก [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐานของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่าง ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน 3)เปรียบเทียบการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ระหว่างก่อนและหลังเรียน โดยการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านโนนสำราญ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 17 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน การอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทย 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทย แบบวัดการอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test Dependent Sample)</p> <p> ผลวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>แผนการจัดการเรียนรู้ การอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.67/84.71</li> <li>ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน การอ่านและการเขียนภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> <li>การอ่านและการเขียนสะกดคำภาษาไทยโดยการจัดการเรียนรู้ที่ใช้สมองเป็นฐาน หลังเรียน<br />สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</li> </ol> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/980 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เวลา โดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2024-01-31T12:01:20+07:00 ณัฐวรรณ ไตรเสนีย์ [email protected] ชวนพิศ รักษาพวก [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ จากการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ ด้วยเทคนิค TAI ร่วมกับแบบฝึกทักษะ หน่วยการเรียนรู้ เวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ เวลา ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3) เปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เวลา ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดพุทโธวาท ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ <br />1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ร่วมกับแบบฝึกทักษะ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบวัดความสามารถทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ร่วมกับแบบฝึกทักษะที่มีผลต่อการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เวลา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.58 / 80.17</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ เวลา โดยใช้เทคนิค TAI ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หน่วยการเรียนรู้ เวลา โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค TAI ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</span></p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1138 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาวงกลม โดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน Kahoot สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2024-03-26T14:46:32+07:00 วิราวรรณ พุทธมาตย์ [email protected] พรชัยกุลวงษ์ กนกกร [email protected] ภทพร พลธรรม [email protected] กุลวดี คตชนะเลขา [email protected] นารีรัตน์ มิตรสันเทียะ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน Kahoot เรื่องโจทย์ปัญหาวงกลม สำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่ม ตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/6 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 <br />ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนอนุบาลชัยภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 45 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน Kahoot เรื่อง โจทย์ปัญหาวงกลม กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องโจทย์ปัญหาวงกลม โดยใช้แผนการทดลอง One-Group Pretest- Posttest Design สถิติที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test) <br />แบบ dependent</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องโจทย์ปัญหาวงกลม หลังได้รับการจัดการเรียนโดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน kahoot สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนโดยใช้เทคนิค KWDL ร่วมกับแอปพลิเคชัน Kahoot อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/969 การพัฒนาทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรีสากลโดยการจัดการเรียนรู้แบบเดวีส์ ร่วมกับแบบฝึกทักษะของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2024-01-12T16:53:09+07:00 นรากร ศรีวงษา [email protected] นิลรัตน์ โคตะ [email protected] <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับแบบฝึกทักษะ 3) ศึกษาทักษะการปฏิบัติกีตาร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ร่วมกับแบบฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านเป้าวิทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ที่เลือกเรียนใน รายวิชา ส่งเสริมความเป็นเลิศด้านกีตาร์ จำนวน 15 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การปฏิบัติเครื่องดนตรีสากล แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินทักษะการปฏิบัติกีตาร์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้วิธีทดสอบแบบ The Wilcoxon signed - rank test </p> <p> ผลวิจัยพบว่า</p> <p> 1) ดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.5755 แสดงว่านักเรียนมีทักษะการปฏิบัติเครื่องดนตรีสากลเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 57.55 </p> <p> 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับแบบฝึกทักษะ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการปฏิบัติกีตาร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน<br />อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> <p> 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ร่วมกับแบบฝึกทักษะ มีทักษะการปฏิบัติกีตาร์ โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/916 การพัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเอง รายวิชามนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ 2023-11-24T15:49:06+07:00 คณารักษ์ ศรีสมบูรณ์ [email protected] คณิศา โชติจันทึก [email protected] พุทธินันท์ นาคสุข [email protected] ปริพัส ศรีสมบูรณ์ [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเอง รายวิชามนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนด้วยบทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเอง 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อบทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเอง รายวิชามนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ที่ได้พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 และลงทะเบียนเรียนรายวิชามนุษย์กับสิ่งแวดล้อม กลุ่มเรียนที่ 1 จำนวน 50 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม โดยจับสลาก 1 กลุ่มเรียน จากทั้งหมด 3 กลุ่มเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) บทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเอง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่สร้างโดยผู้วิจัย สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเองมีประสิทธิภาพ 81.76/83.20 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังเรียนโดยใช้บทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเองสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อบทเรียนอีเลิร์นนิงร่วมกับการเรียนรู้แบบนำตนเองในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" />= 4.57, S.D.= 0.55)</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/940 การส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการสร้างแบบจำลองของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยการสืบเสาะและแบบจำลองเป็นฐาน 2023-12-27T09:47:10+07:00 พิเชษฐ โพธิษะ [email protected] วิษณุ สุทธิวรรณ [email protected] <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการสร้างแบบจำลองก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยการสืบเสาะและแบบจำลองเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ จำนวน 14 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงจากห้องเรียนที่ผู้วิจัยสอนในภาคเรียนที่ 2 <br>ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนจารุศรบำรุง จังหวัดปทุมธานี เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ <br>1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยการสืบเสาะและแบบจำลองเป็นฐาน เรื่อง <br>ซากดึกดำบรรพ์ จำนวน 2 แผน 2) แบบทดสอบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และ 3) แบบทดสอบความสามารถในการสร้างแบบจำลอง สถิติพื้นฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยสถิติ T-test for dependent samples</p> <p>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; หลังจากนักเรียนได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรียนรู้โดยการสืบเสาะและแบบจำลองเป็นฐาน ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่า 1) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยทักษะการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 2) นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยทักษะการสร้างแบบจำลองหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1044 การพัฒนาตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 2024-02-16T16:30:09+07:00 สุวรรณา จำปาศักดิ์ [email protected] นฤมล แสงพรหม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 และวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สองของตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 กลุ่มตัวอย่างแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มครูสำหรับการพัฒนาตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 ในการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ จำนวน 294 คน และกลุ่มครูสำหรับการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สองตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 จำนวน 363 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอันดับที่สอง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ 69 ตัวบ่งชี้ ดังนี้ องค์ประกอบที่ 1 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ และวิธีการวัดและประเมินผลอย่างมีประสิทธิภาพ จำนวน 21 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 2 จรรยาบรรณวิชาชีพครู จำนวน 16 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 3 </span><span style="font-size: 0.875rem;">การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สื่อ/นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่หลากหลาย จำนวน 12 ตัวบ่งชี้ </span><span style="font-size: 0.875rem;">องค์ประกอบที่ 4 การพัฒนาตนเอง จำนวน 9 ตัวบ่งชี้ องค์ประกอบที่ 5 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ และบูรณาการอย่างสร้างสรรค์ จำนวน 7 ตัวบ่งชี้ และองค์ประกอบที่ 6 ทักษะในการใช้เทคโนโลยี และคอมพิวเตอร์ จำนวน 4 ตัวบ่งชี้</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. โมเดลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันอับดับที่สองของตัวบ่งชี้สมรรถนะครูวิทยาการคำนวณในศตวรรษที่ 21 มีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดีมาก (<img title="\chi ^2" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;^2" /></span><span style="font-size: 0.875rem;">= 1891.044, </span><span style="font-size: 0.875rem;">df = 1809, P-value = 0.0877, CFI = 0.994, TLI = 0.993, RMSEA = 0.016, SRMR = 0.038, <img title="\chi ^2" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;^2" /></span><span style="font-size: 0.875rem;">/df = 1.045)</span></p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1024 โมเดลเชิงสาเหตุของปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2024-01-27T22:45:31+07:00 จิรกาญจน์ แผนกุล [email protected] อรพรรณ ตู้จินดา [email protected] ดวงใจ ชนะสิทธิ์ [email protected] <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา 2) ศึกษาปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา และ 3) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงทฤษฎีและข้อมูลเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี การดำเนินการวิจัยมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 3 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 วิเคราะห์โมเดลเชิงสาเหตุของปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 500 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เส้นทาง ระยะที่ 3 ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดล เชิงทฤษฎีและข้อมูลเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์<br />ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบความสอดคล้อง คือ แบบตรวจสอบยืนยันโมเดลเชิงสาเหตุ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">1. ระดับของการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ การบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารแบบมีส่วนร่วม การบริหารงานบุคคล ภาวะผู้นำ การบริหารหลักสูตร การจัดบรรยากาศองค์การ นวัตกรรมการศึกษา และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยเรียงลำดับค่าอิทธิพลจากมากไปน้อย ประกอบด้วย นวัตกรรมการศึกษา การบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารหลักสูตร การบริหารงานบุคคล การจัดบรรยากาศองค์การ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ซึ่งมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เมื่อพิจารณาค่า CMIN/df เท่ากับ 1.341 ค่า p-value เท่ากับ 0.210 ค่า GFI เท่ากับ 0.995 ค่า AGFI เท่ากับ 0.973 ค่า CFI เท่ากับ 1.000 ค่า NFI เท่ากับ 0.998 ค่า IFI เท่ากับ 1.000 ค่า RFI เท่ากับ 0.992 ค่า RMR เท่ากับ 0.001 และค่า RMSEA เท่ากับ 0.024</span></p> <p> เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวมโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ประกอบด้วย การบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ การบริหารบุคคล การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา ภาวะผู้นำ การบริหารหลักสูตร การบริหารแบบมีส่วนร่วม และนวัตกรรมการศึกษา ตามลำดับ</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผลการตรวจสอบโมเดลเชิงสาเหตุของปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า โมเดลมีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้</span></p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/988 การวิเคราะห์พหุระดับของตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดอุดรธานี 2024-01-26T14:09:22+07:00 ศิริญญา ทินนา [email protected] นฤมล แสงพรหม [email protected] <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดอุดรธานี และ 2) พัฒนาและตรวจสอบความตรงของโมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับของตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จังหวัดอุดรธานีที่พัฒนาขึ้นกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดอุดรธานี ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1,172 คน และครูผู้สอนวิชาวิทยาการคำนวณของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 39 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม แบบวัดเจตคติต่อการเรียน แบบวัดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ แบบสอบถามบรรยากาศการเรียนรู้ แบบสอบถามพฤติกรรมการสอนของครู และแบบบันทึกผลการเรียนเฉลี่ย การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงบรรยาย การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยันพหุระดับ (MCFA) การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับ (MSEM)</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <ol> <li>นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดอุดรธานีมีทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า อยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้ ดังนี้ ด้านการทำงานร่วมกัน ด้านความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา และด้านการสื่อสาร</li> <li>โมเดลสมการโครงสร้างพหุระดับของตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จังหวัดอุดรธานี มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ พิจารณาจาก <img title="\chi ^{2}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;^{2}" /><sup> </sup>= 570.374, df = 145, p-value = 0.0000, CFI = 0.962, TLI = 0.935, RMSEA = 0.050, SRMRW = 0.007, SRMRB = 0.403 และ <img title="\chi ^{2}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?\chi&amp;space;^{2}" />/df = 3.934 ซึ่งตัวแปรทำนายทุกตัวร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมของนักเรียนในระดับนักเรียนได้ร้อยละ 77.90 และระดับห้องเรียนได้ร้อยละ 91.50</li> </ol> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/1078 การศึกษาความต้องการการศึกษาต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ ของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตพื้นที่นครชัยบุรินทร์ 2024-02-15T16:19:46+07:00 ศรีสุดา พัฒจันทร์ [email protected] นัฐยา บุญกองแสน [email protected] ประเสริฐ เรือนนะการ [email protected] ศิริพร พึ่งเพ็ชร์ [email protected] ชิตพล ดีขุนทด [email protected] <h4>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการ ลักษณะของหลักสูตร รูปแบบการจัดการเรียนการสอน และคุณลักษณะของนักศึกษาหลังสำเร็จการศึกษาหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิตของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายในเขตพื้นที่นครชัยบุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน 600 คน และผู้ให้ข้อมูล 9 คน เครื่องมือการวิจัยประกอบด้วยแบบสำรวจมีค่า IOC ทุกข้อเท่ากับ 1.00 และแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</h4> <p> 1) นักเรียนต้องการศึกษาต่อสาขาการสอนภาษาไทยมากที่สุด 12% สาขาการศึกษาปฐมวัย 11.40% และสาขาการศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชน และสาขาจิตวิทยาฯ 10.70%</p> <p> 2) ด้านลักษณะของหลักสูตรภาษาไทยที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนมีดังนี้ ยืดหยุ่นสอดคล้องกับความสามารถของนักศึกษา ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ตลอดชีวิต ทำงานร่วมกับบุคคลอื่น คิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา ปรับตัวต่อสถานการณ์โลก ผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทักษะการสื่อสาร บริหารชั้นเรียน ออกแบบการจัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง และทักษะในศตวรรษที่ 21</p> <p> 3) ด้านรูปแบบการจัดการเรียนการสอนมีดังนี้ สอนแบบ Active Learning ฝึกทักษะการสื่อสาร จัดการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ผู้สอน ฝึกคิด วิเคราะห์และตีความ ส่งเสริมการคิดเชิงสร้างสรรค์ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน วัดและประเมินผลที่หลากหลาย และปลูกฝังรักษ์ภาษาไทย</p> <p> 4) ด้านคุณลักษณะของนักศึกษาครูสาขาวิชาภาษาไทยหลังสำเร็จการศึกษามีดังนี้ มีทักษะการสื่อสาร คิดวิเคราะห์และตีความ สร้างนวัตกรรมการศึกษา เข้าถึงแหล่งข้อมูล มีจรรยาบรรณวิชาชีพครู การทำงานเป็นทีม คุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 และประกอบอาชีพอื่นได้</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/785 การพัฒนาหลักสูตรครูแนะแนวโดยการประยุกต์ใช้หลักการ ทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สำหรับพัฒนาทักษะชีวิตผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดกาญจนบุรี 2023-08-03T16:53:23+07:00 ศุภลักษณ์ สัตย์เพริศพราย [email protected] พรชัย หนูแก้ว [email protected] กิ่งแก้ว สุวรรณคีรี [email protected] สุนิสา ละวรรณวงษ์ [email protected] อภิรัตน์ สิงห์ตระหง่าน [email protected] เพียงจันทร์ โมฟเฟ็ทท์ [email protected] <p>การพัฒนาหลักสูตรครูแนะแนวโดยการประยุกต์ใช้หลักการทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สำหรับพัฒนาทักษะชีวิตผู้เรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดกาญจนบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการในการพัฒนางานแนะแนว การพัฒนาหลักสูตรครูแนะแนวโดยใช้หลักการทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาท ทดลองใช้และประเมินผลหลักสูตร กลุ่มเป้าหมายมีครูแนะแนวในจังหวัดกาญจนบุรี 52 คน อาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี 12 คน และครูแนะแนวที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน ซึ่งแต่ละชั้นตอนของการวิจัยใช้กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน </p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">ผลการวิจัยพบว่า 1. ครูแนะแนวสนใจนำแนวทางทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาทไปใช้ในการจัดกิจกรรมแนะแนวในระดับมาก การพัฒนาหลักสูตรครูแนะแนวโดยการประยุกต์ใช้หลักการทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สำหรับพัฒนาทักษะชีวิตผู้เรียน หลักสูตรมัธยมศึกษา และหลักสูตรประถมศึกษา 3. ครูแนะแนวระดับมัธยมศึกษาและครูแนะแนวระดับประถมศึกษามีความรู้ความเข้าใจการประยุกต์ใช้หลักการทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 สำหรับพัฒนาทักษะชีวิตผู้เรียนร้อยละ 91.80 และร้อยละ 91.40 ตามลำดับสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ร้อยละ 80 และ 4. ครูแนะแนวทุกคนทำแผนคนละ 1 หน่วยและได้นำแผนไปใช้ทุกคน ผลของกิจกรรมถอดบทเรียนครูแนะแนวเห็นว่าควรนำแนวทางทรงงานตามเบื้องพระยุคลบาทไปใช้ในการจัดกิจกรรมและไปใช้ในการเรียนการสอนต่อไป</span></p> <p> </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/964 ผลการฝึกโยคะบำบัดออนไลน์ร่วมกับออนไซด์ที่มีต่อการทรงตัว สมรรถภาพ และจิตใจของผู้สูงอายุหญิง 2024-01-15T16:41:40+07:00 ชยน ยาหัส [email protected] สาลี่ สุภาภรณ์ [email protected] <p>การวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษา ผลการฝึกโยคะบำบัดออนไซด์ร่วมกับออนไลน์ที่มีต่อการทรงตัว สมรรถภาพ และจิตใจตามมุมมองของผู้สูงอายุหญิง กลุ่มตัวอย่างคืออาสาสมัครผู้สูงอายุหญิง 19 คน จากชมรมผู้สูงอายุแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร อายุระหว่าง 60-70 ปี ที่ไม่เคยฝึกโยคะและตารางเก้าช่องมาก่อน กลุ่มตัวอย่างฝึกโยคะบำบัดแบบออนไซด์ 2 ครั้งและออนไลน์ 1 ครั้ง ต่อสัปดาห์ รวม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 10 สัปดาห์ การฝึกใช้เวลา 60 นาที ฝึกโยคะ 40 นาที และฝึกเดินบนตารางเก้าช่อง 20 นาที เก็บข้อมูลด้วยการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างและการกระตุ้นความจำด้วยภาพ วิเคราะห์ข้อมูลแบบอุปนัยและตรวจสอบความเชื่อถือได้ด้วยวิธีการสามเส้า ผลการวิจัยสรุปได้ 3 หัวเรื่อง คือ 1) ด้านการทรงตัว พบว่า 1.1) การทรงตัวดีขึ้น และ 1.2) ความกลัวการล้มน้อยลง 2) ด้านสมรรถภาพ คือ 2.1) ความแข็งแรงเพิ่มขึ้น 2.2) ความอดทนและการหายใจดีขึ้น 2.3) ความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น 2.4) อาการปวดเมื่อยลดลง และ 2.5) ความจำดีขึ้น 3) ด้านจิตใจ พบว่า 3.1) มีสติและสมาธิมากขึ้น 3.2) ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น 3.3) สนุกกับการออกกำลังกาย 3.4) ความเครียดลดลง ทำให้นอนหลับดีขึ้น และ 3.5) ชอบฝึกออนไซด์เพราะได้ข้อมูลย้อนกลับจากเพื่อนและครู โดยสรุป โปรแกรมโยคะบำบัดนี้มีความเหมาะสมและมีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการพัฒนาการทรงตัว สมรรถภาพและสุขภาพจิต</p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/917 การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ในอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา 2024-01-18T14:54:18+07:00 อิงอร ลิ้มวัฒนาถาวรกุล [email protected] นวัสนันท์ วงศ์ประสิทธิ์ [email protected] ลักษณาพร คำดี [email protected] <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาความเป็นอยู่ปัจจัยสำคัญ พัฒนาและประเมินรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จำนวน 270 คน เลือกแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามผ่านการตรวจสอบความตรงของเนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน ได้ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถาม เท่ากับ 0.99 มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามสภาพปัญหาความเป็นอยู่และปัจจัยสำคัญ เท่ากับ 0.88 และ 0.93 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึกกึ่งมีโครงสร้าง ได้แก่ บุคลากรทางสาธารณสุข ผู้ดูแลผู้สูงอายุและผู้สูงอายุ จำนวน 39 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัย 1) สภาพปัญหาความเป็นอยู่ โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง ด้านการสนับสนุนการจัดการตนเองสูงสุด (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" /> = 3.53, S.D.= 0.75) รองลงมาด้านระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" /> = 3.49, S.D.= 0.82) และปัจจัยที่มีความสำคัญ โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ด้านสมรรถนะของผู้ดูแลสูงสุด (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" /> = 3.93, S.D.= 1.15) รองลงมาด้านสภาวะสุขภาพร่างกายและจิตใจ (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" />= 3.81, S.D. = 0.51) 2) พัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง พบว่า การมีส่วนร่วมของชุมชน นโยบายของชุมชนและการเข้าถึงบริการ มีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง (r =.90<em>, p</em> = .01; r =.<em>86, p</em> = .01; r =.<em>76 ,p</em> = .01) และ3) ประเมินรูปแบบการดูแลสุขภาพแบบบูรณาการของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง พบว่า ด้านประโยชน์ ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ พิจารณาในภาพรวม อยู่ในระดับมากที่สุด (<img title="x\bar{}" src="https://latex.codecogs.com/gif.latex?x\bar{}" /> = 4.57, S.D.= 0.16) </p> <p>ข้อเสนอแนะ ควรมีการจัดศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนทุกพื้นที่ เพื่อให้การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่ไม่มีญาติหรือในรายที่ถูกทอดทิ้ง หรือเมื่อบุตรหลานต้องไปทำงานนอกบ้าน </p> 2024-04-29T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ