วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru <p>วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ รับพิจารณาตีพิมพ์บทความวิจัย (Research article) บทความวิชาการ (Academic article) และ บทความปริทัศน์ (Review article) ในสาขามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ บทความทุกเรื่องที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารจะได้รับการพิจารณาจากบรรณาธิการ กองบรรณาธิการและผ่านการ ประเมินคุณภาพโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (Peer review) แบบ Double-blinded peer review โดยผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกสถาบันที่ตรงสาขาหรือเกี่ยวข้องกับสาขา 3 ท่าน</p> <p>ตีพิมพ์ปีละ 3 ฉบับ<br />ฉบับที่ 1: มกราคม - เมษายน<br />ฉบับที่ 2: พฤษภาคม - สิงหาคม<br />ฉบับที่ 3: กันยายน - ธันวาคม</p> <div><strong>ขอบเขตงาน (Aims &amp; Scope) :</strong></div> <div>ว<strong>ารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ เป็นวารสารวิชาการที่เผยแพร่เกี่ยวกับบทความวิชาการ บทความวิจัย ที่ครอบคลุมสาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ โดยครอบคลุมสาขาวิชา </strong><span style="font-size: 0.875rem;">ดังต่อไปนี้</span></div> <p> - สาขาการศึกษา</p> <p> - สาขาภาษาศาสตร์</p> <p> - สาขาบริหารธุรกิจ และการจัดการ</p> <p> - สาขาเศรษฐศาสตร์</p> <p> - สาขาสหวิทยาการด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์</p> <p> - สาขารัฐศาสตร์</p> <p> - สาขารัฐประศาสนศาสตร์</p> <p> - สาขานิติศาสตร์</p> <p> - สาขาจิตวิทยา</p> <p> </p> สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ (Research and Development Institute of Chaiyaphum Rajabhat University) th-TH วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ 2651-2076 <p>การอนุญาตให้ใช้ข้อความ เนื้อหา รูปภาพ ฯลฯ ของสิ่งพิมพ์ ผู้ใช้รายใดก็ตามที่จะอ่าน ดาวน์โหลด คัดลอก แจกจ่าย พิมพ์ ค้นหา หรือเชื่อมโยงไปยังข้อความทั้งหมดของบทความ รวบรวมข้อมูลสำหรับการจัดทำดัชนี ส่งต่อเป็นข้อมูลไปยังซอฟต์แวร์ หรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอื่นใด แต่ห้ามนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือมีเจตนาเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจใดๆ เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า (<a href="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><strong>Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License</strong></a>)</p> <p><img src="https://so03.tci-thaijo.org/public/site/images/wasin/-1-b597ca46009bc0604562a0357d7cbe89.jpg" alt="" width="206" height="83" /></p> <p>This work is licensed under a <a href="http://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0/"><strong>Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License</strong></a></p> การพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคลื่นกล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ร่วมกับ กลวิธี STAR https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2480 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์เรื่องคลื่นกล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ร่วมกับกลวิธี STAR และ 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคลื่นกล หลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสารคามพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 40 คน <br />ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ร่วมกับ กลวิธี STAR เรื่องคลื่นกล จำนวน 9 แผน เวลาเรียน 13 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์ แบบอัตนัย จำนวน 6 ข้อ และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 25 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบหลังค่าทีแบบกลุ่มเดียว (t-test for one sample)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนที่มีความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาฟิสิกส์เรื่องคลื่นกลในแต่ละด้านและโดยรวมสูงขึ้น และ 2) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องคลื่นกล สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ฐิติกร ส่งเสริม ไพศาล วรคำ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 443 457 การพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน และคุณลักษณะรักความเป็นไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2673 <p>การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างหน่วยการเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติทางนาฏศิลป์พื้นบ้าน 2) ศึกษาผลการใช้หน่วยการเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน ดังนี้ 2.1) ศึกษาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน 2.2) เปรียบเทียบทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2.3) ศึกษาคุณลักษณะรักความเป็นไทย จากการเรียนหน่วยเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนบ้านไร่พัฒนา ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 20 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ หน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน และแบบสังเกตคุณลักษณะรักความเป็นไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละและสถิติการทดสอบ Wilcoxon signed test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) ผลการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ เพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน มีผลการประเมินความสอดคล้องเหมาะสมของหน่วยการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก (<em>M </em>= 4.67, <em>SD </em>= 0.29) และแผนการจัดการเรียนรู้ มีผลการประเมินความสอดคล้องเหมาะสมอยู่ในระดับมาก (<em>M</em> = 4.13, <em>S.D.</em> = 0.15) หน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน และ แบบสังเกตคุณลักษณะรักความเป็นไทย 2.1) ผลการศึกษาทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน หน่วยการเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยร้อยละ 3.75 คิดเป็นร้อยละ 41.67 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย 7.10 คิดเป็นร้อยละ 78.89 2.2) ผลการเปรียบเทียบทักษะปฏิบัตินาฏศิลป์พื้นบ้าน หน่วยการเรียนรู้ญัฮกุรเก่ามอญโบราณ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 2.3) ผลการศึกษาคุณลักษณะรักความเป็นไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนเรียน มีค่าเฉลี่ย 7.40 คิดเป็นร้อยละ 49.33 หลังเรียนมีค่าเฉลี่ย 12.75 คิดเป็นร้อยละ 85.00</p> นฤสรณ์ ลาภสันเทียะ สิรินาถ จงกลกลาง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 458 472 แนวทางการบริหารการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2824 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับปัญหาการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 2) ศึกษาแนวทางการบริหารการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 78 คน และ ผู้บริหารการศึกษาให้ข้อมูลเชิงคุณภาพจำนวน 13 คน เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามปัญหาการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนขนาดเล็ก มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม ภาพรวม เท่ากับ 0.99 และแบบสัมภาษณ์แนวทางการบริหารการพัฒนาหลักสูตร มีค่า IOC เท่ากับ 1.00 ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัญหาการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครราชสีมา เขต 1 พบว่าภาพรวมมีปัญหาอยู่ในระดับน้อย 2) แนวทางการบริหารการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของโรงเรียนขนาดเล็ก ควรดำเนินงานจริงจังในลักษณะการบริหารจัดการร่วมกันในกลุ่มโรงเรียนขนาดเล็กที่มีบริบทใกล้เคียงกัน โรงเรียนขนาดใหญ่กว่าเป็นที่ปรึกษาและให้ความช่วยเหลือ ประกอบด้วยการดำเนินงานร่วมกันในการวางแผนดำเนินงานอย่างรัดกุม การจัดระบบประสานงานและผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ผู้บริหารใช้ภาวะผู้นำในการส่งเสริมการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอย่างจริงจัง กำกับติดตามการดำเนินงานกระบวนการและผลลัพธ์การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา<br />ทุกขั้นตอนอย่างเป็นระบบ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพนักเรียนเป็นหลัก</p> กรองทิพย์ นาควิเชตร กิตติพงษ์ โด่งพิมาย ธิดารัตน์ สมานพันธ์ วดาภรณ์ พูลผลอำนวย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 473 492 การพัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมเชิงสร้างสรรค์ด้วยโปรแกรม Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2692 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ การเขียนโปรแกรมเชิงสร้างสรรค์ด้วยโปรแกรม Scratch โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) พัฒนาทักษะการเขียนโปรแกรมเชิงสร้างสรรค์ ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนการจัดการเรียนรู้ และ4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการพัฒนา ทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่กำลังศึกษาใน<br />ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 โรงเรียนบ้านดูนสิม(อสพป.8) จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน จำนวน 6 แผน 2) แบบประเมินทักษะการเขียนโปรแกรมเชิงสร้างสรรค์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ4) แบบสอบถามความพึงพอใจ 3 ด้าน จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และการทดสอบวิลคอกซัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 85.40/76.33 2) นักเรียนมีทักษะการเขียนโปรแกรมเชิงสร้างสรรค์ด้วยโปรแกรม Scratch สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 4) ระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุด (<em>M</em>=4.75, <em>SD</em>=0.44) และนักเรียนเกิดทักษะการเขียนโปรแกรมและมีความสนุกสนาน มีบรรยากาศเชิงบวก และสามารถทำงานร่วมกันได้</p> ปุณยาพร หล้าสิงห์ พีรญา ทองเฉลิม สาวิตรี เถาว์โท ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 493 509 การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อเสริมสร้างทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2486 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน และ 3) เปรียบเทียบทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ ก่อนและหลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ จำนวน 4 คน ปีการศึกษา 2567 ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ การบวกและการลบจำนวนซึ่งมีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 100,000 จำนวน 15 แผน 2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างทักษะการคิดแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จำนวน 15 ชุด 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้ การบวกและการลบจำนวนซึ่งมีผลลัพธ์และตัวตั้งไม่เกิน 100,000 จำนวน 30 ข้อ 4) แบบทดสอบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ จำนวน 5 ข้อ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยมีดังนี้</p> <p>1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 93.48/91.67 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่กำหนดไว้</p> <p>2) นักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่าก่อนใช้ โดยมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.8276 มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นร้อยละ 82.76</p> <p>3) นักเรียนมีทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หลังใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกับจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานสูงกว่าก่อนใช้ โดยมีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7885 มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นร้อยละ 78.85</p> กิตติพงษ์ เคยชัยภูมิ นิลรัตน์ โคตะ เกษกนก วรรณวัลย์ สกาวเดือน ไชยสา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 510 523 การบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2666 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพการบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 2) เพื่อเปรียบเทียบสภาพ การบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษายุคดิจิทัล จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน 3) เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษายุคดิจิทัล กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 291 ซึ่งจำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 27 คน และครูผู้สอนจำนวน 264 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) และค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพการบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษายุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามประสบการณ์การทำงาน พบว่า โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนตำแหน่งและวุฒิการศึกษา พบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน</li> <li>แนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนประถมศึกษายุคดิจิทัล คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาหลักสูตรให้ยืดหยุ่น สอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน และบูรณาการเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ส่งเสริมการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่องและส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการบริหารจัดการข้อมูลและการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ และส่งเสริมการออกแบบกระบวนการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมินตนเอง</li> </ol> สุจิตรา จงรักษ์ พีรญา ทองเฉลิม ชวนคิด มะเสนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 524 542 ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2668 <p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน ตามความคิดเห็น ของผู้บริหารสถานศึกษา และครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์การทำงาน และขนาดโรงเรียน 3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 320 คน จำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา 36 คน ครูผู้สอน 284 คนโดยสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครู จำนวน 6 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง และเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มีความตรง (validity) 1.00 ค่าอำนาจจำแนก รายข้อระหว่าง .32 - .72 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .99 และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานด้วยค่าสถิติทีและสถิติเอฟ และเมื่อพบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ ได้ดำเนินการทดสอบความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธีของ Scheffe’</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน โดยรวมอยู่ในระดับมาก</li> <li>การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูเกี่ยวกับระดับภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอำนาจเจริญ จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดโรงเรียน พบว่า โดยรวม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</li> <li>แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคโลกพลิกผัน คือ ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีภาวะผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนและยืดหยุ่น วิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก กำหนดทิศทางด้วย SWOT Analysis ส่งเสริมการมีส่วนร่วม พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องสามารถปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์ มีความชัดเจน ด้านงบประมาณ ทรัพยากร และเทคโนโลยี ติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง การบริหารทรัพยากรเน้นประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า คุณธรรม ส่งเสริมจริยธรรม ความโปร่งใส การพัฒนาบุคลากร และสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีต่อการทำงาน</li> </ol> วรรณิภาภรณ์ พรมชัย อรรถพร วรรณทอง ชวนคิด มะเสนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 543 562 กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2774 <p>การวิจัยเรื่อง “กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สร้างกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ และประเมินผลกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือรองผู้อำนวยการสถานศึกษาปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 24 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษาหรือครูผู้ปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 99 คน และครูหัวหน้างาน จำนวน 99 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 222 คน <br />ในปีการศึกษา 2567 กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างใช้เกณฑ์ร้อยละได้มา ซึ่งการสุ่มแบบแบ่งชั้น โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบการผสมวิธีพหุระยะ (Multi-phrases mixed Methods Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดำเนินการใน 3 ระยะหลัก ได้แก่ การศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ผ่านการรวบรวมและวิเคราะห์เอกสาร งานวิจัย และสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ (1) แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้าง (Semi-structured Interview) จำนวน 1 ฉบับ และ (2) แบบประเมินองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 ฉบับ การสร้างกลยุทธ์ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์ SWOT และการสนทนากลุ่มร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อกำหนดและปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีความเหมาะสม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในระยะนี้ คือ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ เพื่อสำรวจเกี่ยวกับสภาพ ที่เป็นจริงและสภาพที่ควรจะเป็นของการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา และการประเมินกลยุทธ์โดยให้ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้อำนวยการสถานศึกษาประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ เพื่อนำผลการประเมินมาปรับปรุงกลยุทธ์จนสมบูรณ์ เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยในระยะนี้ คือ (1) แบบประเมินด้านความถูกต้องและด้านความเหมาะสมเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) และ (2) แบบประเมินด้านความเป็นไปได้และด้านความเป็นประโยชน์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ โดยผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน วิเคราะห์โอกาส ภาวะคุกคาม กำหนดกลยุทธ์โดยใช้รูปแบบของ Matrix Analysis และประเมินความถูกต้อง ความเป็นไปได้ และความเป็นประโยชน์ของกลยุทธ์</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า (1) องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา มี 5 องค์ประกอบ คือ ด้านวิสัยทัศน์ (Vision) ด้านความยืดหยุ่น (Flexibility) ด้านจินตนาการ (Imagination) ด้านความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) และด้านความท้าทาย (Challenge) (2) ผลการสร้างกลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา คือ กลยุทธ์การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา (4C-LEAD Strategy) ประกอบด้วย วิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) จำนวน 4 พันธกิจ เป้าประสงค์ (Goals) จำนวน 4 เป้าประสงค์ กลยุทธ์หลัก จำนวน 4 กลยุทธ์ กลยุทธ์รอง จำนวน 8 กลยุทธ์ และแนวทางปฏิบัติ จำนวน 40 แนวทาง และ (3) ผลการประเมินกลยุทธ์ การพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด</p> ธีระพงษ์ สวนดี สมเกียรติ ทานอก ศิริ ถีอาสนา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 563 578 ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ในจังหวัดขอนแก่น https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2793 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในจังหวัดขอนแก่น 2) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะในการพัฒนาภาวะผู้นำ<br />ที่แท้จริงของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในจังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คณะผู้บริหารและคณาจารย์จากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในจังหวัดขอนแก่น (ปีการศึกษา 2568) ซึ่งทำการกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตาราง Krejcie and Morgan และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย ทำให้ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 205 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับแบบตอบสนองคู่ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในจังหวัดขอนแก่น โดยเรียงความสำคัญจากสูงไปหาต่ำตามลำดับ คือ กระบวนการที่สมดุล ความตระหนักรู้ในตนเอง ความโปร่งใสเชิงสัมพันธ์ และมุมมองเชิงจริยธรรม ตามลำดับ</li> <li>ข้อเสนอแนะในการพัฒนาภาวะผู้นำที่แท้จริงของผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในจังหวัดขอนแก่น เป็นดังนี้ 1) ผู้บริหารควรใช้ความยุติธรรมและเสมอภาคในการบริหารงาน 2) ผู้บริหารควรมีความมั่นคงในคำพูดและการกระทำ 3) ผู้บริหารควรปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีต่อผู้อื่น</li> </ol> จิรวัฒน์ วรุณโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 579 588 ปัจจัยเชิงสาเหตุสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผล ของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2764 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาองค์ประกอบสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก (2) ศึกษาปัจจัยเชิงสาเหตุสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก (3) ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลเชิงทฤษฎีและข้อมูลเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี การดำเนินการวิจัยมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาเอกสารและสัมภาษณ์ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา ระยะที่ 2 วิเคราะห์โมเดลเชิงสาเหตุของปัจจัยการบริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 550 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามที่สร้างขึ้นโดยผู้วิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เส้นทาง ระยะที่ 3 ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดล เชิงทฤษฎีและข้อมูลเชิงประจักษ์ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ ที่กำหนด เครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบความสอดคล้อง คือ แบบตรวจสอบยืนยันโมเดลเชิงสาเหตุ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า</p> <p>1. องค์ประกอบของสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กโดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การจูงใจผู้อื่น การมีวิสัยทัศน์ การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ ทักษะการวิเคราะห์ ความเป็นผู้นำ และการสื่อสาร ตามลำดับ</p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">2. ปัจจัยสมรรถนะการบริหารของผู้สถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยเรียงลำดับค่าอิทธิพลจากมากไปน้อย ประกอบด้วย การมีวิสัยทัศน์ ทักษะการวิเคราะห์ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ การจูงใจผู้อื่น การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ การสื่อสาร และน้อยที่สุด คือ ความเป็นผู้นำ เมื่อพิจารณาซึ่งมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ เมื่อพิจารณาค่า Chisquare/df เท่ากับ 508 ค่า p-value เท่ากับ .183 ค่า GFI เท่ากับ .997ค่า AGFI เท่ากับ .976ค่า CFI เท่ากับ .999 ค่า NFI เท่ากับ .997 ค่า IFI เท่ากับ .999 ค่า RFI เท่ากับ .985ค่า RMR เท่ากับ .003 และค่า RMSEA เท่ากับ .030 เมื่อพิจารณาอิทธิพลรวม เรียงลำดับ ปัจจัยสมรรถนะการบริหารสถานศึกษา ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็กจากมากไปหาน้อย คือ การมีวิสัยทัศน์ การวางแผนเชิงกลยุทธ์ ทักษะการวิเคราะห์ การทำงานให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ การจูงใจผู้อื่น การสื่อสาร และความเป็นผู้นำ ตามลำดับ</span></p> <p><span style="font-size: 0.875rem;">3. ผลการตรวจสอบโมเดลปัจจัยเชิงเชิงสาเหตุสมรรถนะการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษาที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่า โมเดลมีความถูกต้อง เหมาะสม เป็นไปได้ และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้</span></p> พิชญาภร ตินิโส ดวงใจ ชนะสิทธิ์ อรพรรณ ตู้จินดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 589 602 การพัฒนาแบบประเมินสมรรถนะของการเป็นผู้ตัดสินกีฬาบาสเกตบอล สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาพลศึกษา ในมหาวิทยาลัยราชภัฏกลุ่มภาคกลาง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2900 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจของสมรรถนะของการเป็นผู้ตัดสินกีฬาบาสเกตบอลฯ (2) พัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินสมรรถนะของการเป็นผู้ตัดสินกีฬาบาสเกตบอลฯ และ(3) สร้างคู่มือการใช้แบบประเมินสมรรถนะของการเป็นผู้ตัดสินกีฬาบาสเกตบอลฯ งานวิจัยจำแนกออกเป็น 3 ระยะตามวัตถุประสงค์การวิจัย ระยะที่ 1 วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจฯ รวบรวมข้อมูลด้วยการเก็บแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 795 คน และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติบรรยาย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ และหมุนแกนองค์ประกอบด้วยวิธีวาริแม็กซ์ ระยะที่ 2 การพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพของแบบประเมินฯ รวบรวมด้วยแบบทดสอบความรู้และแบบประเมินสมรรถนะฯ เก็บข้อมูลกับนักศึกษาและครูพลศึกษารวมจำนวน 35 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบความรู้โดยพิจารณา ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาจากค่า CVI ความเชื่อมั่นจากค่า KR20 ความยาก อำนาจจำแนก และแบบประเมินฯ พิจารณาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความเชื่อมั่นแบบวัดซ้ำ และความเป็นปรนัยด้วย ICC ระยะที่ 3 การสร้างคู่มือการใช้แบบประเมินฯ เก็บข้อมูลกับผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 6 ท่าน ด้วยแบบประเมินคุณภาพของคู่มือ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติบรรยายได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ พบว่ามีตัวแปร 40 ตัวแปร สกัดองค์ประกอบได้ 3 องค์ประกอบ คือ (1) การประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะการตัดสินกีฬาบาสเกตบอล (2) คุณลักษณะและจรรยาบรรณของผู้ตัดสินกีฬาบาสเกตบอล และ (3) พฤติกรรมการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตัดสินกีฬาบาสเกตบอล แต่ละองค์ประกอบมีค่า Eigenvalue มากกว่า 1 และทั้ง 3 องค์ประกอบสะสมความแปรปรวนที่อธิบายได้รวมร้อยละ 79.069 และ 2) แบบทดสอบความรู้เป็นข้อสอบแบบเลือกตอบจำนวน 20 ข้อ ครอบคลุมองค์ประกอบที่ 1 มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 0.97 ความเชื่อมั่นแบบ KR20 เท่ากับ 0.73 ความยากมีค่าระหว่าง 0.38-0.75 และอำนาจจำแนกระหว่าง 0.25-0.75 แบบประเมินภาคปฏิบัติฯ ประกอบด้วยรายการประเมิน จำนวน 25 รายการ มีเกณฑ์การประเมินแบบรูบริคที่ครอบคลุมองค์ประกอบที่ 1, 2, 3 โดยมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (CVI) 0.96 ความเชื่อมั่นแบบวัดซ้ำมีค่าระหว่าง .78 -1.00 และความเป็นปรนัยมีค่า เท่ากับ ICC .94 และ 3) คุณภาพของคู่มือในภาพรวม อยู่ในระดับดีมาก</p> รวิวรรณ สื่อสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 603 618 สภาพแวดล้อมในการทำงานเชิงสนับสนุนและผลการปฏิบัติงานของพนักงาน: การศึกษาเชิงประจักษ์จากพนักงานที่ทำงานแบบผสมผสานในประเทศไทย https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2688 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทำการตรวจสอบผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทำงานเชิงสนับสนุนต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานในอุตสาหกรรมเคมิคอลและปูนซีเมนต์ในประเทศไทย โดยรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม กับพนักงานที่มีการทำงานแบบผสมผสานในช่วงสถานการณ์โควิด อย่างน้อย 1 ปี และปัจจุบันยังคงทำงานในรูปแบบนี้อยู่ จำนวน 272 คน โดยมีผู้ตอบกลับ จำนวน 104 คน และทดสอบสมมุติฐานด้วยสถิติการวิเคราะห์การถดถอยอย่างง่าย (Simple Regression Analysis) ผลการวิจัยพบว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานเชิงสนับสนุนส่งผลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงานในการทำงานแบบผสมผสาน ซึ่งวิธีการส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมการทำงานในองค์กรเพื่อให้พนักงานมีผลการปฏิบัติงานที่สูงขึ้น ในกรณีที่พนักงานทำงานแบบผสมผสานและประเด็นการวิจัยในอนาคตอธิบายไว้ในส่วนท้ายของบทความนี้</p> วรุณรินทร์ พรมหนองอ้อ วิตติกา ทางชั้น ขวัญฤดี พรชัยทิวัตถ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 619 627 ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมของนักศึกษา Gen Z ในจังหวัดอุดรธานีในการเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2643 <p>งานวิจัย “ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพร้อมของนักศึกษา Gen Z ในจังหวัดอุดรธานีในการเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร” มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยประสบการณ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบการของนักศึกษา Gen Z ในจังหวัดอุดรธานี (2) วิเคราะห์ปัจจัยประสบการณ์ที่ส่งผลต่อความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงเกษตร และ (3) สำรวจความต้องการการสนับสนุนเพื่อเสริมศักยภาพการเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของนักศึกษา Gen Z โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากนักศึกษาระดับปริญญาตรี จำนวน 382 คน ผ่านแบบสอบถามมาตราส่วน Likert 5 ระดับ และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษามีประสบการณ์การเยี่ยมชมฟาร์ม การดูงานด้านเกษตร การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร และการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในระดับปานกลาง โดยประสบการณ์เหล่านี้มีอิทธิพลเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อความพร้อมในการเป็นผู้ประกอบการ (p &lt; .05) ทั้งนี้ องค์ความรู้และทักษะดิจิทัลอยู่ในระดับค่อนข้างสูง แต่ทักษะด้านการบริหารจัดการ เงินทุน และเครือข่ายธุรกิจยังอยู่ในระดับปานกลาง ความต้องการการสนับสนุนที่สำคัญที่สุด ได้แก่ การศึกษาดูงาน การฝึกอบรมด้านการเป็นผู้ประกอบการ และการสนับสนุนด้านเงินทุน ผลการวิจัยเสนอแนะให้มหาวิทยาลัยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกแบบหลักสูตรเชิงปฏิบัติ และพัฒนานโยบายสนับสนุนด้านทุนและเครือข่าย เพื่อเสริมสร้างความพร้อมให้นักศึกษา Gen Z ก้าวสู่บทบาทผู้ประกอบการท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืน</p> ณรงค์ ขันดีศรีไพบูลย์ ดนัย ศิริบุรี รชต สวนสวัสดิ์ ชลธิชา รัมพณีนิล ณัฐวรรณ ป้องกัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 628 639 แนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรแบบมีส่วนร่วมของชุมชน ตำบลส้มป่อย อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/2966 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการของประชาชนในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ตำบลส้มป่อย 2) เสนอแนวทางในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ตำบลส้มป่อย ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรคือผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลส้มป่อย การวิจัยเชิงปริมาณ เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม คำนวณกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางของ Yamane ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 378 ครัวเรือน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพกลุ่มเป้าหมายผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 51 คน ประกอบด้วย กลุ่มผู้นำหมู่บ้านหรือคณะกรรมการหมู่บ้าน กลุ่มผู้รู้หรือปราชญ์ชาวบ้าน ประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำ และเครือข่ายกลุ่มผู้ใช้น้ำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสัมภาษณ์และการประชุมกลุ่มย่อย และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า</p> <p>ความต้องการของประชาชนในการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรแบบมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ตำบลส้มป่อย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกด้าน ได้แก่ 1) ด้านการวางแผน (<em>M</em> = 4.33) ได้รับข้อมูลและร่วมเสนอแนะอย่างกว้างขวาง 2) ด้านการรับผลประโยชน์ (<em>M</em> = 4.11) ได้รับผลผลิตที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพชีวิตดีขึ้น 3) ด้านการประสานงาน (<em>M</em> = 4.03) มีการติดต่อกับหน่วยงาน และสื่อสารภายในชุมชน 4) ด้านการดำเนินงาน (<em>M</em> = 3.99) มีส่วนร่วมในกิจกรรมก่อสร้างและซ่อมแซม และ 5) ด้านการติดตามและประเมินผล (<em>M</em> = 3.89) มีโอกาสตรวจสอบและเสนอแนะแต่ยังต้องพัฒนา</p> <p>แนวทางการบริหารจัดการน้ำ ได้แก่ 1) การเสนอของบประมาณในการบำรุงรักษา โดยการเสนอโครงการที่มีศักยภาพ 2) ปรับรูปแบบการดำเนินงานของคณะกรรมการและการประชุมสมาชิก 3) การจัดทำแผนดำเนินงานแต่ละสถานีสูบน้ำ มีการจัดคนดูแลสถานีสูบน้ำและการทำข้อตกลง รวมทั้งการรู้ปัญหาสามารถแจ้งปัญหาอย่างทันท่วงที) 4) การเพิ่มศักยภาพในการกักเก็บน้ำ 5) การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย</p> สุนทร ปัญญะพงษ์ อัญชลี ชัยศรี ทัศไนยวรรณ ดวงมาลา วิมลศิลป์ ปรุงชัยภูมิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 640 656 พุทธคุณกับการรับรู้ของสังคมไทยในบริบทสมัยใหม่ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/rdicpru/article/view/3024 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาความหมายของพุทธคุณ (2) เพื่อวิเคราะห์การรับรู้พุทธคุณของประชาชนชาวไทย และ (3) เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตีความพุทธคุณในบริบทร่วมสมัย เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการใช้การวิจัยเชิงเอกสาร เป็นการรวบรวมและศึกษาข้อมูลทั้งปฐมภูมิและทุติยภูมิ จากคัมภีร์พระพุทธศาสนา คือพระไตรปิฎก อรรถกถาและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องนำเนื้อหามาวิเคราะห์และการตีความ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ความหมายของพุทธคุณมี 2 ลักษณะ คือ ความหมายที่กล่าวถึงคุณสมบัติส่วนตัวของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญบารมีขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้น มีคำว่า อรหัง เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นต้น ซึ่งพุทธคุณนี้จะเป็นคุณลักษณะของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่กำเนิดขึ้นมาก่อนหน้านี้และในอนาคตกาล ส่วนอีกความหมายหนึ่งกล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมมีการกล่าวถึงชาติ ตระกูล ผิวพรรณ เป็นต้น การรับรู้พุทธคุณของประชาชนชาวไทยมีลักษณะหลากหลายและเปลี่ยนแปลงตามกลุ่มบุคคล การศึกษา และบริบททางวัฒนธรรม สำหรับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตีความพุทธคุณในบริบทร่วมสมัย การสื่อสาร ความเชื่อเดิม และพิธีกรรมทางศาสนาเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การตีความหมายของพุทธคุณจากความหมายเดิมในพระไตรปิฎกเปลี่ยนไป จากคุณลักษณะของมนุษย์ผู้ที่ฝึกฝน ขัดเกลาตนเองในการกำจัดกิเลสจนหมดสิ้นได้ชื่อว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสู่ความหมายของพุทธคุณในเชิงสัญลักษณ์เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ความขลังมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง</p> <p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยนี้ ทำให้ทราบการสื่อสารในยุคปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าใจความหมายของคำว่าพุทธคุณแท้จริงตามคัมภีร์พระไตรปิฎกมากกว่าความศรัทธาในเชิงวัตถุ</p> บารมี อริยะเลิศเมตตา วิไลพร สุจริตธรรมกุล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-11-29 2025-11-29 7 3 657 673