การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ROIET เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางประวัติศาสตร์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
DOI:
https://doi.org/10.65205/jasrru.2025.2786คำสำคัญ:
การจัดการเรียนรู้ ROIET, ประวัติศาสตร์, ทักษะการตั้งคำถาม, การคิดเชิงวิจารณญาณ, หลักฐานทางประวัติศาสตร์บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะทางประวัติศาสตร์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด โดยมุ่งเสริมสร้าง 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและธรรมชาติของประวัติศาสตร์ (2) ทักษะการตั้งคำถามเชิงประวัติศาสตร์ และ (3) การตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เหตุผลและหลักฐานในการแสวงหาคำตอบ ผ่านรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ROIET ซึ่งแต่ละขั้นมีการออกแบบกิจกรรม เครื่องมือ และผลลัพธ์การเรียนรู้ ดังนี้ ขั้น R – Research & Retrieve นักศึกษาฝึกสืบค้นและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นและชั้นรอง เช่น พงศาวดาร บันทึกเหตุการณ์ ข่าว หรือภาพถ่ายประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้น ขั้น O – Organize & Observe เน้นการจัดระเบียบและวิเคราะห์หลักฐาน เช่น การทำตารางเปรียบเทียบ ปัจจัยเหตุการณ์–ผลจากเหตุการณ์-ผู้เกี่ยวข้อง–หลักฐาน–มุมมอง และการสังเกตข้อจำกัดของแต่ละแหล่งข้อมูล ขั้น I – Interpret & Interact เปิดโอกาสให้นักศึกษาตีความและอภิปราย เช่น การวิเคราะห์ว่าผู้บันทึกเหตุการณ์อาจมีอคติหรือเจตนารมณ์ใด และการเปรียบเทียบการตีความเหตุการณ์เดียวกันจากหลายมุมมอง ขั้น E – Express & Exhibit มุ่งให้นักศึกษาผลิตผลงานนำเสนอ เช่น อินโฟกราฟิกเส้นเวลาเหตุการณ์สำคัญ และขั้น T – Transfer & Transform ให้นักศึกษาวางรูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ และสะท้อนคิดความเปลี่ยนแปลงของตนหลังการเรียน โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ใช้วิธีวิจัยเชิงพัฒนา 3 ขั้นตอน ได้แก่ การออกแบบ การพัฒนา และการทดลองใช้ ROIET ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ความเข้าใจ ทักษะการตั้งคำถาม และทัศนคติในการคิดเชิงวิพากษ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < .001) ข้อมูลจากการสังเกตและสัมภาษณ์ยังสะท้อนว่านักศึกษามีส่วนร่วมในอภิปราย คิดเชิงหลักฐาน และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่บริบทใหม่ได้อย่างสร้างสรรค์ ดังนั้นรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ROIET จึงไม่เพียงเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ที่รายงานผลเชิงปริมาณ แต่เป็น โมเดลที่มีเอกลักษณ์ในเชิงกิจกรรม ซึ่งบูรณาการการค้นคว้า การวิเคราะห์ การตีความ การสื่อสาร และการถ่ายโอนบทเรียนทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ ส่งเสริมสมรรถนะทางประวัติศาสตร์และทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างเป็นรูปธรรม
Downloads
เอกสารอ้างอิง
คาร์, อี. เอช. (2525). ประวัติศาสตร์คืออะไร. แปลโดย ชาติชาย พณานานนท์. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์.
นุชรินทร์ มิ่งโอโล. (2567). การพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหาเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนนักศึกษาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. ในรายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการระดับชาติ ราชภัฏเลยวิชาการ ครั้งที่ 10 (หน้า 98-104). มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.
ปริญ รสจันทร์, นุชรินทร์ มิ่งโอโล, มนตรี เตียนพลกรัง, อภิชาติ ดีไม่น้อย. (2567). การสร้างองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนการสอนนักศึกษาสังคมศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. ในรายงานสืบเนื่องจากการประชุมวิชาการระดับชาติ ราชภัฏเลยวิชาการ ครั้งที่ 10 (หน้า 149–155). มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย.
ภัทรพงษ์สุขเกิด, ปัณณวิชญ์ ใบกุหลาบ, และ สุขแก้ว คําสอน. (2564). การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนประวัติศาสตร์เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงระบบสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วารสารครุพิบูล, 8(1), 86–88.
วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพ ฯ : มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์.
Brooks, J. G., & Brooks, M. G. (1993). In search of understanding: The case for constructivist classrooms. ASCD.
Bruner, J. S. (1966). Toward a theory of instruction. Harvard University Press.
Fosnot, C. T. (1996). Constructivism: Theory, perspectives, and practice. Teachers College Press.
Hartzler-Miller, C. (2001). Making sense of “best practice” in teaching history. Theory & Research in Social Education, 29(4), 672–695.
Jonassen, D. H. (1991). Objectivism versus constructivism: Do we need a new philosophical paradigm? Educational Technology Research and Development, 39(3), 5–14.
Lee, P. (2005). Putting principles into practice: Understanding history. In S. Donovan & J. Bransford (Eds.), How students learn: History, mathematics, and science in the classroom (pp. 31–77). Washington, DC: The National Academies Press.
Levstik, L. S., & Barton, K. C. (2015). Doing history: Investigating with children in elementary and middle schools (5th ed.). New York, NY: Routledge.
Palincsar, A. S. (1998). Social constructivist perspectives on teaching and learning. Annual Review of Psychology, 49, 345–375.
Piaget, J. (1972). The psychology of the child. Basic Books.
Seixas, P. (2017). A model of historical thinking. Educational Philosophy and Theory, 49(6), 593–605. https://doi.org/10.1080/00131857.2015.1101363
Seixas, P., & Morton, T. (2013). The big six historical thinking concepts. Toronto, ON: Nelson Education.
Smith, F. (1998). The book of learning and forgetting. Teachers College Press.
VanSledright, B. (2011). The challenge of rethinking history education: On practices, theories, and policy. New York, NY: Routledge.
Vygotsky, L. S. (1978). Mind in society: The development of higher psychological processes. Harvard University Press.
Wineburg, S. (2001). Historical thinking and other unnatural acts: Charting the future of teaching the past. Philadelphia, PA: Temple University Press.
Wineburg, S. (2007). Unnatural and essential: The nature of historical thinking. Teaching History, 129, 6–11.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
รูปแบบการอ้างอิง
ฉบับ
ประเภทบทความ
หมวดหมู่
สัญญาอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ

อนุญาตภายใต้เงื่อนไข Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.








