https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/issue/feed
วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
2025-08-29T14:56:25+07:00
ศาสตราจารย์ ดร.อัมพร ธํารงลักษณ์
thaipaat@gmail.com
Open Journal Systems
<p>PAAT Journal หรือ วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย (Public Administration Association of Thailand Journal) มีวัตถุประสงค์หลัก ดังนี้ 1) เพื่อส่งเสริมเผยแพร่ผลงานและทัศนะทางวิชาการสาขารัฐประศาสนศาสตร์ การบริหารรัฐกิจ การบริหารกิจการสาธารณะ รัฐศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) เพื่อเป็นการพัฒนาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ของประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า 3) เพื่อเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ของสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทยกับสมาชิกของสมาคมฯ และสังคม</p>
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2473
สภาวะการหมดไฟในการทำงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
2025-04-17T19:09:27+07:00
วรยา ไพรั้ง
woraya_p@cmu.ac.th
<p>การศึกษางานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสภาพวะหมดไฟในการทำงานของกลุ่มเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ในระบบราชการไทย เพื่อนำมาสู่การพัฒนาและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาสภาวะหมดไฟในการทำงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ภายที่ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งในรูปแบบของการทำงานในระดับอำเภอ 25 แห่ง และระดับจังหวัด 1 แห่ง ผู้เขียนพยายามวิเคราะห์ถึงปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสภาวะหมดไฟในการทำงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ โดยใช้การศึกษาเชิงคุณภาพ อาศัยข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการค้นคว้ารวบรวมข้อมูลจากเอกสาร และการสัมภาษณ์เชิงลึกของบุคลากร โดยมีอายุการทำงานตั้งแต่ 2 ปี ขึ้นไป จากกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม จำนวน 18 คน ได้แก่ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ที่อยู่ภายใต้ที่ทำการปกครองจังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มผู้ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ที่มีการเปลี่ยนงาน ย้ายงานและกลุ่มผู้ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ที่ลาออกแม้ไม่มีงานใหม่รองรับ และนำข้อมูลมาวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Content Analysis</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า สภาวะหมดไฟในการทำงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ เกิดจากหลายปัจจัย โดยแบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยหลัก และ 1 โครงสร้าง คือ ปัจจัยภายใน ได้แก่ เงินเดือน ค่าตอบแทน ความเครียด และปัจจัยภายนอก ได้แก่ สภาพแวดล้อมภายในองค์กร เพื่อนร่วมงาน ภาระงานที่ได้รับมอบหมาย และการขาดการสนับสนุนจากองค์กร ร่วมถึงรูปแบบการบริหารและโครงสร้างขององค์กร ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดสภาวะหมดไฟในการทำงานของเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ ด้านร่างกาย ด้านจิตใจ และด้านพฤติกรรม ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลกระทบทั้ง 3 ด้าน โดยเป็นองค์ประกอบที่กระตุ้นให้บุคลากร เกิดสภาวะหมดไฟในการทำงาน และนำไปสู่การตัดสินใจ ซึ่งคนรุ่นใหม่ที่ปฏิบัติงานมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี เมื่อเทียบการปฏิบัติงานในระดับอำเภอและระดับจังหวัด การทำงานในระดับจังหวัดมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบให้เกิดการหมดไฟในการปฏิบัติงานเร็วกว่าการปฏิบัติงานในระดับอำเภออย่างเห็นได้ชัด ด้วยโครงสร้าง รูปแบบการปฏิบัติงาน ค่าตอบแทน และสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง เพื่อรักษาเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานรุ่นใหม่ไว้ในองค์กรเห็นควรมีการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพอย่างทั่วถึง สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานโดยอาศัยการปรับการปฏิบัติราชการสมัยใหม่ (New Public Management) เพื่อให้เกิดองค์กรการมีส่วนร่วมและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างองค์กรเข้มแข็งและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/1192
การจัดการภาวะวิกฤติที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์กองบิน 41 จังหวัดเชียงใหม่
2024-04-13T21:04:48+07:00
วรพิมพ์ พงศ์ภัคอภิปภา
Woraphim_p@cmu.ac.th
<p style="font-weight: 400;">บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการจัดการกับภาวะฉุกเฉินที่ผ่านมาของกองบิน 41 และเสนอแนะแนวทางการจัดการภาวะฉุกเฉินที่ส่งผลกระทบเชิงลบและภาพลักษณ์ของกองบิน 41 ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต และเพื่อหยุดยั้งหรือป้องกันไม่ให้เข้าสู่ภาวะวิกฤติ ใช้วิธีการศึกษางานวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมจากเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า สถานการณ์ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของกองบิน 41 ในระดับสูง เกิดจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดหมายได้ก่อน แม้ว่าองค์กรจะมีแผนเตรียมรับต่อสถานกาณ์ฉุกเฉินในรูปแบบต่าง ๆ แต่เนื่องจากปัจจุบันภัยคุกคามใหม่ ๆ เกิดขึ้นเสมอ ในมุมมองของทั้งผู้บริหาร หัวหน้าส่วน และผู้ปฏิบัติมีความเห็นตรงกันว่ากระบวนการก่อนเกิดวิกฤติจึงมีความสำคัญ ได้แก่ การตรวจหาสัญญาณเตือน การจัดเตรียมความพร้อมทั้งคนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง การปรับปรุงแผนที่เกี่ยวข้องให้ทันสมัย รวมถึงต้องมีการฝึกซ้อมทบทวนแผนเป็นประจำ เพื่อให้เผชิญต่อเหตุการณ์ได้อย่างรู้เท่าทัน แก้ไขปัญหาได้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมสถานการณ์ไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มมากขึ้น และกลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติโดยเร็ว ส่วนในด้านการบริหารจัดการหลังภาวะวิกฤติเกี่ยวกับภาพลักษณ์องค์กรที่เสียไป ซึ่งเป็นผลกระทบส่วนใหญ่ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองบิน 41 ควรต้องดำเนินการโดยฝ่ายกิจการพลเรือนและประชาสัมพันธ์ของหน่วย เนื่องจากมีความชำนาญด้านการสื่อสารภาพลักษณ์ การเจรจาต่อรอง อีกทั้งยังพบว่า สื่อมวลชนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องของการแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เนื่องจากปัจจุบันสื่อมีความรวดเร็วและมีการนำเสนอข้อมูลข่าวสารแบบทันท่วงที ดังนั้นการสื่อสารด้วยข้อเท็จจริงอย่างทันท่วงทีและตรงประเด็น อาจจะเป็นแนวทางใหม่ในการช่วยให้ลดผลกระทบได้มากขึ้นกว่าเดิม</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/1888
การวิเคราะห์ศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนในการร่วมมือจัดทำแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของตำบลเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
2025-01-06T19:56:25+07:00
ศรัณย์พร ภมรพล
Saranporn_bha@cmu.ac.th
<p>งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพในการพัฒนาการท่องเที่ยวและศึกษาแนวทางการวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยวร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลเชียงดาวและองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาว ความสำคัญของการวิจัยครั้งนี้เพื่อให้ทราบถึงศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวของชุมชนอย่างยั่งยืน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาและกลุ่มตัวอย่าง (1) การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จำนวน 16 คน ได้แก่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ ผู้นำชุมชน สมาชิกสภาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลเชียงดาวและองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาว (2) การทำแบบสอบถาม โดยสอบถามทัศนคติจากประชาชนที่มีต่อการทำงานร่วมกันของหน่วยงานทั้ง 2 องค์กร จำนวน 222 คน โดยคำนวณตามวิธีของทาโร ยามาเน่ ผลการศึกษาพบว่า ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในสังกัดเทศบาลตำบลเชียงดาวและองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาวมองว่า หน่วยงานทั้ง 2 องค์กรมีศักยภาพเพียงพอในการร่วมมือกันพัฒนาการท่องเที่ยว ในด้านบุคลากร ด้านพื้นที่ ด้านงบประมาณ ซึ่งทั้ง 2 องค์กรสามารถแลกเปลี่ยนทรัพยากรและบทบาทหน้าที่ในการทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ในส่วนของผู้นำชุมชน สมาชิกสภาท้องถิ่นมองว่าเทศบาลตำบลเชียงดาวและองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาวมีศักยภาพ สามารถร่วมกันพัฒนาการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี ข้อเสนอแนะเทศบาลตำบลเชียงดาวและองค์การบริหารส่วนตำบลเชียงดาว ควรร่วมกันพัฒนาในด้านอื่นๆด้วย เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทุกด้าน</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/1945
เยาวชนกับการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ กรณีศึกษา นักเรียนชุมนุมวิทยาศาสตร์ ทางทะเลโรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
2025-01-22T10:55:08+07:00
จารุวรรณ แก้วมะโน
jaruwan@kpi.ac.th
<p>บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องบทบาทของซอฟต์พาวเวอร์และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการสร้างค่านิยมประชาธิปไตยและความสามัคคีในสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวทางการยกระดับทุนทางสังคมสู่ซอฟต์พาวเวอร์ด้วยพลังเยาวชน โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) ร่วมกับการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มตัวอย่าง ประกอบด้วย ครูที่ปรึกษาและนักเรียนชุมนุมวิทยาศาสตร์ทางทะเล โรงเรียนพลูตาหลวงวิทยา และชาวบ้านในตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ผลการศึกษาพบว่า ซอฟต์พาวเวอร์เป็นพลังที่สามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างเป็นระบบ โดยการพัฒนาทุนทั้ง 3 ประการร่วมกันประกอบด้วย ทุนมนุษย์ ทุนทางสังคมและวัฒนธรรม ผ่านกระบวนการดังนี้ 1) การส่งเสริมการศึกษาเพื่อสร้างสำนึกการมีส่วนร่วมของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย และค้นหาทุนทางสังคมร่วมกัน 2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขับเคลื่อนทุนทางสังคมร่วมกัน 3) การสร้างความตระหนักผ่านการมีส่วนร่วมกำหนดกิจกรรมร่วมกัน และ 4) การขับเคลื่อนกิจกรรมร่วมกัน กรณีศึกษาของนักเรียนชุมนุมวิทยาศาสตร์ทางทะเล แสดงให้เห็นว่าเยาวชนมีศักยภาพในการพัฒนาขึ้นเป็นแกนนำขับเคลื่อนทุนทางสังคมและวัฒนธรรมสู่ซอฟต์พาวเวอร์ได้ โดยตั้งต้นจากการสร้างค่านิยมร่วมในการร่วมอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลผ่านกิจกรรมต่างๆ กระทั่ง สามารถเปลี่ยนการต่อต้านของคนในชุมชนให้กลายมาเป็นพลังสนับสนุนการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลของนักเรียนในเวลาต่อมา</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/1992
การพัฒนาแนวทางการเพิ่มความไว้วางใจและเสริมสร้างความโปร่งใสของรัฐบาลและรัฐสภาโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน: กรณีศึกษา เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
2025-01-31T11:45:30+07:00
เลิศพร อุดมพงษ์
lertporn@kpi.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของความเชื่อมั่นและความโปร่งใสของรัฐบาลและรัฐสภา กรณีศึกษา เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด และจัดทำข้อเสนอแนวทางที่เหมาะสมในการเพิ่มความเชื่อมั่นและเสริมสร้างความโปร่งใสของรัฐบาลและรัฐสภาโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) ประชาชนเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด 67 คน และ 2) ผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน เก็บข้อมูลโดยใช้การประชุมเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม และ การสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การตีความเชิงพรรณนาข้อมูล การตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษา สรุปว่า (1) ผู้ให้ข้อมูลทุกกลุ่มมีความเชื่อมั่นต่อความโปร่งใสและความไว้วางใจต่อรัฐบาลและรัฐสภาค่อนข้างน้อย เนื่องจากสาเหตุสำคัญหลายประการ ได้แก่ การไม่สามารถแสดงผลการทำงานที่เป็นรูปธรรมตามที่ได้หาเสียงไว้ ยังมีการเล่นการเมือง มีการเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง และมีการทำงานที่โปร่งใสน้อยลง (2) ข้อเสนอแนวทางในการมีส่วนร่วมของประชาชน ได้แก่ การเปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น, การตรวจสอบและประเมินการทำงานผ่านช่องทางที่หลากหลายและสม่ำเสมอ, การสื่อสารและเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส, การสร้างความโปร่งใสในกระบวนการเลือกผู้แทนที่จะส่งผลให้ได้บุคคลที่มีคุณภาพ และ การมีระบบในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของประชาชนที่มีประสิทธิภาพและมีการตอบสนองกับประชาชน</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2000
แนวทางการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น
2025-01-31T20:39:21+07:00
อรทัย เฉลิมภูมิ
orathai10276@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรคการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากร และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรอุทยานวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษาและภาคชุมชน จึงมุ่งให้ความสำคัญที่จะพัฒนาศักยภาพของบุคลากรให้มีความพร้อมทุกด้าน เพียงองค์กรยังขาดแผนและแนวทางอย่างจริงจัง บทความวิจัยนี้ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้วิธีการดำเนินการวิจัย ได้แก่ การวิจัยเอกสาร จากแหล่งข้อมูลทุติยภูมิ เช่น รายงานการประชุม ระเบียบ และวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้อง และการวิจัยสนาม จากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ แหล่งข้อมูลชั้นต้นโดยตรง มีวิธีการคัดเลือกผู้ให้ข้อมูลสำคัญแบบเจาะจง โดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key Informants) จำนวน 5 กลุ่ม ทั้งหมด 22 คน ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลถึงประเด็นสำคัญจากการสัมภาษณ์ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตามวัตถุประสงค์นำไปสู่การสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล อภิปรายผล และนําเสนอผลการวิจัยด้วยวิธีการเชิงพรรณนา (Descriptive Analysis)ผลการศึกษาพบว่า สภาพปัญหาและอุปสรรคที่มีผลต่อการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในการปฏิบัติงานนั้น บุคลากรยังขาดทักษะ ความรู้และความชำนาญในการปฏิบัติงานตามภาระงานที่ได้รับมอบหมายภายในแต่ละตำแหน่ง และยังมีปัญหาด้านทัศนคติที่มีมุมมองในเชิงซับซ้อนต่อเพื่อนร่วมงานและการบริหารงานขององค์กร สำหรับแนวทางในการพัฒนาศักยภาพในการปฏิบัติงานนั้นบุคลากรต้องการเข้าร่วมฝึกอบรมด้านทักษะขั้นสูงให้มีความเชี่ยวชาญและจำเป็นต่อการดำเนินงานตามภาระงานเฉพาะแต่ละตำแหน่งในรูปแบบการฝึกอบรมต่าง ๆ ที่เหมาะสม อีกทั้งยังต้องการพัฒนาทักษะอื่น ๆ เช่น การบริการด้วยใจ ด้านการสื่อสาร ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านการติดตามข่าวสารยอดนิยมสมัยใหม่ ด้านภาษาต่างประเทศ และการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์นอกจากนั้น งานวิจัยได้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรศึกษาสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์กรที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการบริบทการบริหารการตัดสินใจของผู้บริหารองค์กรต่อไป </p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2001
การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อแผนพัฒนาท้องถิ่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ในองค์การบริหารส่วนตำบลดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่
2025-01-31T21:41:54+07:00
อิษณาติ ด่านพาณิชย์
pp.isanart@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์สามประการคือ 1) เพื่อศึกษาแนวทางการเพิ่มความมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น 5 ปี ซึ่งส่งผลเชิงนโยบายของการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน อบต.ดอยหล่อ ผลการศึกษาพบว่าประชาชนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการตัดสินใจร่วมกับ อบต. ซึ่งมีผลทำให้โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานของชุมชนเป็นส่วนใหญ่ 2) เพื่อศึกษาถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่มีผลสืบเนื่องต่อการมีส่วนส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานของ อบต.ดอยหล่อ พบว่าผู้นำชุมชนและส.อบต. มีบทบาทสำคัญในการชี้นำการตัดสินใจของประชาชน เนื่องจากผู้นำชุมชนยังคงเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและประชาชนในการดำเนินการเกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ ทำให้ความเป็นอิสระในการตัดสินใจของประชาชนถูกจำกัดไว้ 3) เพื่อศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาและเสนอความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาแนวทางเรื่องการพัฒนาในแง่ของการกระจายอำนาจอย่างเหมาะสมภายใต้แผนพัฒนาฯ การจัดการโครงสร้างพื้นฐาน อบต.ดอยหล่อ ซึ่งพบว่าการดำเนินงานอย่างโปร่งใสจะทำให้เกิดแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นร่วมกันได้ดีที่สุด งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยมีการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสัมภาษณ์แบบกลุ่มในประชาชน 55 คน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ของ อบต.ดอยหล่อ ร่วมกับการวิเคราะห์ข้อมูลเอกสารของการติดตามและประเมินผลแผนพัฒนาฯ ประจำปี พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมาซึ่งมีคะแนนประเมินในการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมอยู่ในระดับพอใจมากร้อยละ 41.22 พอใจร้อยละ 55.66 และไม่พอใจเพียงร้อยละ 3.11 เท่านั้น</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2005
การพัฒนาศักยภาพการบริการการแพทย์ฉุกเฉินของอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย: กรณีศึกษา การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์
2025-02-01T14:26:35+07:00
ชลกร ช่วยเชื้อสาย
dintonnam76@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มุ่งตอบคำถามสำคัญสองประการ ได้แก่ ประการแรก ศักยภาพของการบริการการแพทย์ฉุกเฉินในอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุยมีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวในพื้นที่หรือไม่ ประการที่สอง แนวทางการจัดตำแหน่งบุคลากรทางการแพทย์ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ควรมีลักษณะอย่างไร เนื่องจากอุทยานแห่งนี้มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและให้การช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน แต่ปัจจุบันยังขาดการพัฒนาศักยภาพด้านการแพทย์ฉุกเฉินอย่างเต็มรูปแบบ การวิจัยเชิงคุณภาพนี้จึงได้ถูกใช้เป็นวิธีการวิจัยหลัก โดยได้ดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมายหลักสามกลุ่ม ได้แก่ ประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และผู้ประกอบการเอกชน ทั้งในและนอกอุทยาน ผลการวิจัยพบว่า การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ป่ายังคงเป็นอุปสรรคสำคัญ ข้อเสนอแนะของการศึกษา ได้แก่ การกำหนดแนวทางชัดเจนในการจัดสรรบุคลากรและพัฒนาศักยภาพของระบบการแพทย์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2013
การจัดการภาวะวิกฤติที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์องค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่
2025-02-03T11:42:47+07:00
ปฏิภาณ อ่อนคำ
patiphan.onkham@gmail.com
<p>ภัยพิบัติทางธรรมชาติเป็นความท้าทายสำคัญที่ทดสอบความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การจัดการภาวะวิกฤติที่ไม่มีประสิทธิภาพส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับกรณีขององค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้วที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง บทความวิจัยนี้มุ่งตอบคำถามสำคัญสองประการ คือ การจัดการภาวะวิกฤติขององค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้วมีปัญหาอย่างไร และแนวทางใดบ้างที่สามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาการจัดการภาวะวิกฤติในอนาคต การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ ผลการศึกษาพบว่า ปัญหาหลักคือการขาดแผนจัดการวิกฤติที่ชัดเจน การจัดการวิกฤติที่ขาดการวางแผนชัดเจนส่งผลกระทบต่อการจัดสรรทรัพยากรและการสื่อสารในองค์การ ทำให้การจัดสรรทรัพยากรและการสื่อสารกับชุมชนล่าช้าไม่ทันต่อสถานการณ์ ข้อเสนอแนะหลักจากการศึกษา คือ องค์การบริหารส่วนตำบลดอนแก้วควรมีแผนจัดการภาวะวิกฤติที่ชัดเจนควบคู่ไปกับการพัฒนาแนวทางการสื่อสารในช่วงวิกฤติ แบ่งหน้าที่การบริหารสถานการณ์ออกจากการบริหารการสื่อสาร ซึ่งจะช่วยให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ขององค์กรในระยะยาว</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2598
การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์
2025-05-20T17:07:25+07:00
จำเนียร จวงตระกูล
professordrjj@gmail.com
ศรัณยา เลิศพุทธรักษ์
patsawan2549@gmail.com
พรรษวรรณ สุขสมวัฒน์
patsawan2549@gmail.com
<p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาในรายละเอียดเกี่ยวกับการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ วิธีการที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมที่ไม่ใช้ระบบ โดยการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์แล้วสกัดข้อมูลที่ได้ศึกษานำมาใช้เพื่อเป็นฐานในการเขียนบทความนี้ วรรณกรรมที่ได้ศึกษาประกอบด้วย (1) ความหมายของปัญญาประดิษฐ์ (2) ประโยชน์ของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (3) ประเภทของปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้กับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (4) การนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ (5) ความท้าทายในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ต่อจากนั้นนำผลการศึกษามาสังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่ที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ คือกระบวนการและขั้นตอนในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประกอบด้วย ห้า ขั้นตอน มีรายละเอียดดังนี้ (1) ทำการศึกษาและทำความเข้าใจกับปัญญาประดิษฐ์ให้ชัดเจน (2) พิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ (3) ศึกษาและทำความเข้าใจประเภทของปัญญาประดิษฐ์ที่จะนำมาใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ (4) เลือกปัญญาประดิษฐ์ประเภทที่เหมาะสมและนำไปใช้ในงานบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้านที่ต้องการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (5) คำนึงถึงปัญหาความท้าทายต่าง ๆ ในการนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการบริหารมนุษย์โดยทำการป้องกันปัญหาหรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อไป</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2815
Fluke: บังเอิญอย่างมีนัยสำคัญ
2025-07-30T14:57:53+07:00
อุดมโชค อาษาวิมลกิจ
udomchoke.a@cmu.ac.th
<p>หนังสือ Fluke: บังเอิญอย่างมีนัยสำคัญฯ โดย Brian Klaas นำเสนอวิธีคิด และการตีความที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับ “ความบังเอิญ” (Fluke) ในเหตุการทางประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ และการตัดสินใจในการบริหารสาธารณะ เขาได้วิเคราะห์เหตุการณ์สำคัญ เช่น การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์จากอุกกาบาตเมื่อ 65 ล้านปีก่อน และการตัดสินใจไม่ทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าความบังเอิญสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมนุษยชาติได้อย่างมหาศาล คลาสได้ชี้ว่าทุกการกระทำมีความสำคัญต่อระบบที่เชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน พร้อมกระตุ้นให้ผู้นำของรัฐ และผู้บริหารยอมรับความไม่แน่นอน และพร้อมรับความยืดหยุ่นในการวางแผนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หนังสือเล่มนี้เป็นแหล่งความรู้เชิงประวัติศาสตร์ด้านการตัดสินใจ และแรงบันดาลใจสำหรับผู้ที่สนใจการบริหารจัดการ และการทำความเข้าใจ “ความบังเอิญ”</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2980
เมืองกับความท้าทายภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต
2025-08-29T11:37:14+07:00
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
Mewsiriwat@gmail.com
<p>การพัฒนาอย่างยั่งยืนในยุคปัจจุบันได้รับการเน้นย้ำจากแนวคิด 5Ps ของสหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วย People, Planet, Partnership, Peace และ Possibilities โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาโลกในมุมมองที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โดยประเทศไทยมีจุดแข็งในฐานะพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการเจรจาสันติภาพระดับโลก เนื่องจาก ไทยสามารถรักษาสถานะเป็นกลางและเลี่ยงความขัดแย้งได้อย่างดี แต่ในขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังเผชิญภาวะ "สังคมผอมแห้ง" ประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว คาดว่าในปี 2660 อาจเหลือไม่ถึงครึ่งของจำนวนประชากรปัจจุบัน ดังปาฐกถาที่กล่าวไว้ว่า <strong>“ตอนนี้มันไม่เหลือคำว่าเมืองอีกแล้วเพราะชนบทเหลือเพียงแค่ผู้สูงอายุกับเด็กเล็กและกำลังหดตัวไปเรื่อย ๆ สังคมเมืองในนิยามความหมายใหม่มันอิงความเป็นส่วนใหญ่ของพื้นที่อยู่อาศัย” </strong>อัตราการเกิดที่ลดลงเป็นเพราะคนส่วนใหญ่มีความคิดที่ไม่ต้องการมีบุตร ดังปาฐกถาที่กล่าวไว้ว่า <strong>“โอกาสของโลกมันถูกปิดไปมาก ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมต่างๆมันเลวร้ายมากจนกระทั่งรู้สึกว่าการพาเด็กเข้ามาเกิดขึ้นใหม่บนโลกใบนี้เป็นการทารุณกรรมเขา”</strong> ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาครัฐที่พนักงานสายวิชาชีพกำลังค่อยๆทยอยเกษียณอายุราชการทำให้มีปัญหาในการของคุณภาพของบุคลากรในการประจำการและมีปัญหาในเรื่องของปริมาณของบุคลากรที่จะเข้ามาแทนที่</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/paatj/article/view/2020
นโยบายต่างประเทศไทยกับแนวทางการขับเคลื่อนภูมิพลังวัฒนธรรม (Soft Power) เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
2025-02-04T15:40:16+07:00
อรุณรัตน์ จินดา
arunrat@vru.ac.th
<p>ภูมิพลังวัฒนธรรม (Soft Power) เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญต่อการเสริมสร้าง “วัฒนธรรมสัมพันธ์นานาชาติ” ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นระหว่างประเทศของทุก “ตัวแสดง” ประกอบด้วย ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคพลเมือง เพื่อก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดนและเอื้อต่อการพัฒนาและยกระดับความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศในทุกมิติ บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์บทบาทของภาครัฐและการกำหนดนโยบายต่างประเทศไทยในการขับเคลื่อนภูมิพลังวัฒนธรรม (Soft Power) ภายใต้บริบทและอัตลักษณ์ที่หลากหลายโดยคำนึงถึงความสมดุลในทุกมิติอันนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยใช้แนวคิดไตรภาคีศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ “สามสัมพันธ์ สามฐาน สามพลัง” ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ (2565) นำมาวิเคราะห์แนวทางการกำหนดนโยบายต่างประเทศไทยในการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ผลการศึกษาพบว่า ภาครัฐมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนภูมิพลังวัฒนธรรม (Soft Power) เพื่อเสริมสร้าง วัฒนธรรมสัมพันธ์นานาชาติและพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยรัฐทำหน้าที่เป็น “ผู้นำเชิงนโยบาย” (Policy Leader) ในการกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้ภูมิพลังวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือทางการทูตและการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน</p>
2025-08-29T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสมาคมรัฐประศาสนศาสตร์แห่งประเทศไทย