https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/issue/feed วารสารวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 2025-06-30T17:51:46+07:00 สำนักงานกองบรรณาธิการวารสารฯ ms_journal@dru.ac.th Open Journal Systems <div>วารสารฯ มี วัตถุประสงค์ <span lang="TH">1) เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วิทยาการ ความรู้ ความคิดทางวิชาการ และวิชาชีพ</span>สาขาวิชาบริหารธุรกิจ บัญชี นิเทศศาสตร์ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การจัดการท่องเที่ยวและบริการ เศรษฐศาสตร์ ระบบสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 2) <span lang="TH">เพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาด้านวิทยาการจัดการที่จะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษา คณาจารย์ และผู้สนใจทั่วไป โดยรับพิจารณาบทความวิจัย บทความวิชาการ ที่มีคุณค่าทางวิชาการ สามารถใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงทฤษฏีและเชิงปฏิบัติได้อย่างกว้างขวาง</span> </div> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2522 เทคนิคการนำเสนอของยูทูบเบอร์ด้านการท่องเที่ยว กรณีศึกษา ช่องยูทูบ “Go Went Go” 2025-04-30T18:28:34+07:00 พันธกานต์ ทานนท์ phanthakan.tha@dpu.ac.th ชนะพัฒน์ พนมวัน ณ อยุธยา chanapat.pan@dpu.ac.th มติมนต์ ทรงคุณเวช matimon.son@dpu.ac.th <p> ยูทูบถือเป็นแพลตฟอร์มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญกับกลุ่มผู้ชมในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก บทความวิชาการฉบับนี้กำลังสะท้อนเทคนิคการนำเสนอเนื้อหาของยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวจากช่อง Go Went Go โดยมุ่งวิเคราะห์การใช้ภาพและเสียงในคลิปวิดีโอที่ได้รับความนิยมสูงในปี พ.ศ. 2567 จำนวนทั้งสิ้น 6 คลิป ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าช่อง Go Went Go ใช้กลยุทธ์การเล่าเรื่องที่ผสมผสานองค์ประกอบด้านภาพและเสียงอย่างมีศิลปะ โดยอาศัยเทคนิคการนำเสนอ 5 ประการที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมและสร้างประสบการณ์การรับชมที่ลุ่มลึก ดังนี้ 1) เทคนิคด้านขนาดภาพ เริ่มต้นด้วยภาพมุมกว้างเพื่อกำหนดบริบทของสถานที่และเรื่องราว และเลือกใช้ภาพระยะใกล้ปานกลางในการถ่ายทอดพฤติกรรม ปฏิสัมพันธ์ และอารมณ์ของตัวบุคคล 2) เทคนิคด้านมุมกล้อง นิยมใช้มุมกล้อง ในระดับสายตาเพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกับผู้ชม เสริมด้วยการเลือกมุมกล้องที่สัมพันธ์กับโทนสีและโครงเรื่องเพื่อเพิ่มความกลมกลืน 3) เทคนิคด้านสีใช้สีเพื่อควบคุมจังหวะและอารมณ์ของเรื่องราว สีผิวของตัวละครกลายเป็นจุดสมดุลในองค์ประกอบภาพ และการวางคู่สีตรงข้ามในเฟรมเดียวกันอย่างสอดคล้อง ช่วยสร้างความโดดเด่นโดยไม่ขัดแย้งทางสายตา 4) เทคนิคด้านเสียง บรรยายผ่านเสียงของพิธีกร ผสานเสียงของผู้คนในพื้นที่เพื่อสะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงการเลือกใช้ดนตรีประกอบและเสียงเอฟเฟกต์ที่ส่งเสริมจินตนาการและความรู้สึกร่วม และ 5) เทคนิคพิเศษอื่น ๆ อาทิ การใช้ฟอนต์ การแทรกอินโฟกราฟิก รวมถึงภาพนิ่งและภาพถ่ายที่งดงาม เพื่อเสริมสร้างอรรถรสในการรับชม และทำให้เนื้อหาน่าสนใจยิ่งขึ้น จะเห็นได้ว่าการนำเสนอของช่อง Go Went Go สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบประสบการณ์การรับชมที่ผ่านการคิดอย่างเป็นระบบและใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งเป็นต้นแบบที่น่าสนใจสำหรับผู้ผลิตสื่อสายท่องเที่ยวในยุคดิจิทัล </p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2519 การใช้โปรแกรมสแครชในการออกแบบการตลาดเชิงประสบการณ์ : เครื่องมือสร้างกิจกรรมการมีส่วนร่วมสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ 2025-05-12T19:36:51+07:00 พิทักษ์พงษ์ คมพุดซา pitakpong.ko@bsru.ac.th <p> โปรแกรมสแครช (Scratch) เป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์แบบบล็อก (Block-based programming) ซึ่งเชื่อมต่อกันในลักษณะคล้ายจิ๊กซอว์ที่สามารถลากและวางได้ทันที โดยจัดเรียงคำสั่งตามลำดับขั้นตอน ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจแนวคิดและกระบวนการคิดเชิงตรรกะของการเขียนโปรแกรมโดยไม่จำเป็นต้องกังวลกับไวยากรณ์ของภาษาโปรแกรม ปัจจุบันโปรแกรมสแครชได้รับการพัฒนาถึงเวอร์ชัน Scratch 3.0 และถูกนำไปประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลายในด้านการศึกษา การพัฒนาเกม และการสร้างสื่อมัลติมีเดียแบบมีปฏิสัมพันธ์ แม้ว่าโปรแกรมสแครชจะได้รับความนิยมในแวดวงการศึกษาและเทคโนโลยี แต่ในบริบททางธุรกิจยังมีการศึกษาเพื่อนำไปใช้ค่อนข้างจำกัด ทั้งที่โปรแกรมมีศักยภาพในการสร้างสื่อที่สามารถดึงดูดความสนใจและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการใช้โปรแกรมสแครชในการออกแบบการตลาดเชิงประสบการณ์ (Experiential Marketing) โดยกรณีศึกษาที่นำเสนอเป็นวิสาหกิจชุมชนกลุ่มแปรรูปอาหารทะเลชุมชนรักษ์ทะเล ที่ผู้เขียนสมมติขึ้นเพื่อให้สามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในการประยุกต์ใช้แนวคิดนี้ในบริบทจริง ผลการศึกษาพบว่า โปรแกรมสแครชมีศักยภาพในการเป็นเครื่องมือการตลาดเชิงประสบการณ์ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ประสาทสัมผัส (Sense) อารมณ์ (Feel) ปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ (Think) พฤติกรรมและรูปแบบการใช้ชีวิต (Act) และอัตลักษณ์ทางสังคม (Relate) โดยสามารถสร้างและส่งมอบประสบการณ์ให้กับผู้บริโภค ถ่ายทอดเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ กระบวนการผลิต และคุณค่าทางวัฒนธรรมได้อย่างน่าสนใจ สนุก และเข้าถึงง่าย อีกทั้งยังช่วยให้สมาชิกในชุมชนสามารถผลิตเนื้อหาได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ ถือเป็นแนวทางเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนผ่านการใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและยั่งยืน</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2419 อิทธิพลของความน่าเชื่อถือในตราสินค้าที่มีต่อความภักดีของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล 2025-04-14T10:22:53+07:00 Zhe wang wangzhe_joshua@outlook.com ธนกร สิริสุคันธา noithonglek@hotmail.com สุรชัย กังวล surachai_k@mju.ac.th <p> ความน่าเชื่อถือในตราสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความไว้วางใจและพฤติกรรมผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อ อีกทั้งยังมีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างตราสินค้ากับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลออนไลน์ เช่น รีวิวสินค้า การบอกต่อทางอิเล็กทรอนิกส์ และโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลต่อทัศนคติผู้บริโภค บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ประกอบกันเป็นความน่าเชื่อถือของตราสินค้า ได้แก่ ความโปร่งใส ความถูกต้อง ความเชี่ยวชาญของแหล่งข้อมูล และความซื่อสัตย์ในการสื่อสาร พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบของความน่าเชื่อถือต่อการสร้างความไว้วางใจในสินค้าและบริการ นอกจากนี้ยังเสนอแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ เพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตราสินค้าในตลาดปัจจุบัน การเติมเต็มองค์ความรู้เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของตราสินค้าในบริบทดิจิทัล โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่ข้อมูลถูกบิดเบือน เช่น โฆษณาเกินจริงหรือการสื่อสารที่ขาดความโปร่งใส ซึ่งล้วนกระทบต่อความไว้วางใจของผู้บริโภค ทั้งยังขยายขอบเขตองค์ความรู้เดิมด้วยการชี้ให้เห็นถึงผลกระทบเชิงลึกของความน่าเชื่อถือต่อการตัดสินใจซื้อและความภักดีในตราสินค้าภายใต้การแข่งขันที่ซับซ้อน นำไปสู่ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างตราสินค้ากับผู้บริโภค และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในยุคดิจิทัลที่ท้าทาย</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2420 แนวทางในการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ ของพนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี 2025-04-10T12:09:37+07:00 กัญญารัตน์ จอมทัน kanyarat.c@dru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของพนักงานมหาวิทยาลัย สายสนับสนุนวิชาการ 2.เพื่อศึกษาความรู้ ความเข้าใจ และความต้องการ ในการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพของพนักงานมหาวิทยาลัย สายสนับสนุนวิชาการ ประชากรที่ศึกษา คือ พนักงานมหาวิทยาลัยสายสนับสนุนวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี เลือกเป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 118 คน โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ อินโฟกราฟิกเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ และแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนาตนเอง สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ ค่าความถี่ และค่าร้อยละ</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1. รูปแบบการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางสายอาชีพที่พัฒนาขึ้นในรูปแบบอินโฟกราฟิก มีความเหมาะสมและถูกต้องทั้งด้านเนื้อหาและการออกแบบ สามารถนำเสนอเส้นทางความก้าวหน้า คุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง สิทธิประโยชน์ และเกณฑ์การประเมินได้อย่างชัดเจน 2.บุคลากรมีความรู้ ความเข้าใจในด้านสิทธิประโยชน์มากที่สุด ร้อยละ 70.34 รองลงมาด้านหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้น ร้อยละ 69.61 และด้านคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง มีความรู้ ความเข้าใจน้อยที่สุด คิดเป็นร้อยละ 65.38 สำหรับความต้องการในการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพโดยรวมคิดเป็นร้อยละ 85.93 ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาระบบสนับสนุนความก้าวหน้า ในสายอาชีพและการพัฒนาศักยภาพบุคลากรของสถาบันอุดมศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2504 ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์การของพนักงานธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย 2025-05-09T15:31:16+07:00 กัลย์จรรย์ เตชพัฒนากร kanjan.patt@gmail.com ณภัทร ดีมาก napath.d@mail.rmutk.ac.th เปรมศรี จันทร์มณี premsri.j@mail.rmutk.ac.th มนัญณัฏฐ์ โภชนจันทร์ manannat@tni.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุปัจจัยความผูกพันองค์การของพนักงาน ศึกษาปัญหาและอุปสรรคในการสร้างความผูกพันองค์การ รวมถึงข้อเสนอแนะต่างๆ ในการสร้างความผูกพันองค์การของพนักงานธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โดยการวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้วิธีการวิจัยเอกสารและวิจัยสนาม ในส่วนของการวิจัยสนามเป็นการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 10 คน ตามคำถามที่กำหนดไว้ในแบบสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญเป็นกลุ่มตัวแทนผู้ที่มีความรู้และมีข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์การของพนักงานธนาคารเป็นอย่างดีที่สุด โดยกําหนดตัวผู้ตอบแบบเจาะจง</p> <p> ผลจากการศึกษาวิจัย พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อความผูกพันองค์การของพนักงานธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยนั้นประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 4 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยด้านสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ ปัจจัยด้านความมั่นคงในอาชีพ ปัจจัยด้านสัมพันธภาพภายในองค์การ และปัจจัยด้านความก้าวหน้าในงาน ในส่วนของปัญหาและอุปสรรคในการสร้างความผูกพันองค์การนั้นประกอบด้วยปัญหาด้านสัมพันธภาพภายในองค์การ ปัญหาด้านลักษณะงาน ปัญหาด้านความเท่าเทียมและยุติธรรมและในด้านข้อเสนอแนะในการสร้างความผูกพันองค์การ ประกอบด้วยการปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือนและสวัสดิการให้เหมาะสมกับภาระงาน การปรับปรุงระบบงาน การจัดอบรมผู้บริหารของธนาคารเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่พนักงาน รวมถึงการเป็นผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำที่ดีและเสนอให้ควรมีการจัดกิจกรรมเสริมสร้างความรักและสามัคคีในองค์การ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/1929 สมรรถนะทางบัญชีดิจิทัลที่มีต่อประสิทธิภาพในงานทางบัญชีของธุรกิจ SMEs ในจังหวัดพิษณุโลก 2025-01-17T14:16:05+07:00 บุษณีย์ เทวะ tewa.8789@gmail.com วนิดา จันทร์ศรี vanida1372@gmail.com ณฐวัฒน์ พระงาม nathawat1417@gmail.com <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับสมรรถนะทางบัญชีดิจิทัล และประสิทธิภาพในงานทางบัญชีของธุรกิจ SMEs ในจังหวัดพิษณุโลก และ 2) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์และผลกระทบของสมรรถนะทางบัญชีดิจิทัลที่มีต่อประสิทธิภาพในงานทางบัญชีของธุรกิจ SMEs ในจังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักบัญชีของธุรกิจ SMEs ในจังหวัดพิษณุโลก จำนวน 395 คน ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ระดับสมรรถนะทางบัญชีดิจิทัล ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅= 4.04) และประสิทธิภาพในงานทางบัญชีของธุรกิจ SMEs ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̅= 4.02) 2) ระดับความสัมพันธ์ของตัวแปรสมรรถนะทางบัญชีดิจิทัลกับประสิทธิภาพในงานทางบัญชี อยู่ในระดับสูง และผลกระทบของสมรรถนะทางบัญชีดิจิทัลมีอิทธิพลในเชิงบวกต่อประสิทธิภาพในงานทางบัญชีของธุรกิจ SMEs โดยจำแนกองค์ประกอบของสมรรถนะทางบัญชีดิจิทัล ได้แก่ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ความรอบรู้ทางวิชาชีพ จริยธรรมทางวิชาชีพ และการเรียนรู้เชิงพลวัต มีอิทธิพลทางตรงต่อประสิทธิภาพในงานทางบัญชีของธุรกิจ SMEs ในจังหวัดพิษณุโลก ตามลำดับ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 ซึ่งผลการวิจัย ได้แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจ SMEs ควรให้ความสำคัญกับผู้ปฏิบัติงานบัญชีในการพัฒนาความรอบรู้ทางบัญชี สนับสนุนการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และเสริมสร้างจริยธรรมทางวิชาชีพ เพื่อให้การดำเนินงานทางบัญชีมีประสิทธิภาพ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2050 แนวทางการเพิ่มศักยภาพกระบวนการขนส่งโค-กระบือ เพื่อการค้าภายในประเทศ กรณีศึกษา จุดพักโค-กระบือ จังหวัดอุบลราชธานี 2025-03-12T09:44:11+07:00 ฤทัยรัตน์ พลยาง rupoly@rpu.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัญหากระบวนการขนส่งโค-กระบือ 2) เพื่อศึกษาการแก้ปัญหากระบวนการขนส่งโค-กระบือ และ 3) เพื่อหาแนวทางการเพิ่มศักยภาพกระบวนการขนส่งโค-กระบือ กรณีศึกษาจุดพักโค-กระบือ จังหวัดอุบลราชธานี เป็นการวิจัยคุณภาพ (Qualitative Research) ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเชิงลึก (In-depth Interview) ผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวนทั้งสิ้น 15 ราย ผลการวิจัยพบว่าปัญหาความล่าช้าในการเคลื่อนย้ายเนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำการระบบ เอ็น ไอ ดี ในวันหยุดราชการ การแก้ปัญหาโดยให้มีเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้ประสานงานและจัดทำเอกสารแบบครบวงจรเป็นผู้ดำเนินการจัดทำเอกสารนอกระบบ ปัญหาเกษตรกรไม่เคลื่อนย้ายตามเส้นทางที่สำนักงานปศุสัตว์ระบุในใบอนุญาตเคลื่อนย้าย การแก้ปัญหาโดยจัดให้มีการอบรมพนักงานให้มีความเข้าใจในกระบวนการทำงาน และปรับแบบฟอร์มเอกสารใบอนุญาตเคลื่อนย้ายเพื่อให้สื่อสารได้ถูกต้องตรงประเด็น ปัญหาโค-กระบือบาดเจ็บล้มระหว่างการเคลื่อนย้าย การแก้ปัญหาโดย 1) ใช้พื้นยางพาราปูพื้นเพื่อป้องกันการลื่นและล้ม 2) การผูกต้องผูกล็อค ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยเว้นระยะห่างให้พอดี 3) ไม่บรรทุกแน่นจนเกินไป 4) ติดตาข่ายเหล็กด้านข้าง ทั้งสองข้าง ด้านบน และท้ายกระบะ 5) จัดให้ยืนอยู่ในท่าทางที่มั่นคง ปัญหาราคาโค-กระบือตกต่ำ การแก้ปัญหาโดยอบรมให้ความรู้เกษตรกรในเรื่องราคา วัฎจักรของการซื้อขาย และในเรื่องอุปสงค์อุปทานเบื้องต้น ให้ความรู้เรื่องการเลี้ยงโค-กระบือ ในพื้นที่จำกัดเพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ส่วนแนวทางการเพิ่มศักยภาพกระบวนการขนส่งโค-กระบือ กรณีศึกษาจุดพักโค-กระบือ จังหวัดอุบลราชธานี โดยการสร้างคู่มือสำหรับการขนส่งโค-กระบือ แบ่งเป็นสามด้าน 1) ด้านการเตียมพื้นที่ยานพหนะ 2) ด้านการจัดเรียงโค-กระบือบนยานพาหนะ 3) ด้านการกำหนดระเบียบปฏิบัติในการขนส่ง</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2039 สมรรถนะของผู้บริหารต่อประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดในสำนักงานของเขตพื้นที่การศึกษาของระดับประถมศึกษากรุงเทพมหานคร 2025-02-10T09:12:23+07:00 สงวน อินทร์รักษ์ sanguan7724@gmail.com ปลีลา ศักดิ์สิริชัย paleelachai@gmail.com <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1.เพื่อทราบสมรรถนะผู้บริหารในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาของระดับประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร 2.เพื่อทราบประสิทธิผลโรงเรียนสังกัดของสำนักงานในเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากรุงเทพมหานคร และ 3.เพื่อทราบความสัมพันธ์สมรรถนะและประสิทธิผลในโรงเรียนสังกัดของสำนักงานในเขตพื้นที่การศึกษาชั้นประถมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ โรงเรียนสังกัดของสำนักงานในเขตพื้นที่การศึกษาชั้นประถมศึกษาในกรุงเทพมหานคร 36 แห่ง โดยใช้ประชากรเป็นผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย ผู้อำนวยการสถานศึกษา 1 คน รองผู้อำนวยการสถานศึกษาฝ่ายบุคคล 1 คน และบุคลากรครู 1 คน รวมทั้งสิ้น 108 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามและใช้หลักการเกี่ยวด้านประสิทธิผลสถานศึกษาของมอทท์ (Mott) สถิติที่การวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ มัชฌิมฺเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p><strong>ผลการวิจัยพบว่า</strong></p> <ol> <li>สมรรถนะผู้บริหารโรงเรียนสังกัดของสำนักงานในเขตพื้นที่การศึกษาของระดับประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่ามีระดับมากที่สุดทุก ๆ ด้าน เรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านการวิเคราะห์และวิธีการสังเคราะห์ ด้านการสื่อสารและสร้างจูงใจ ด้านการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ด้านการมุ่งการผลมีสัมฤทธิ์ ด้านการพัฒนาตนเอง ด้านทำงานเป็นทีม ด้านการบริการที่ดี และด้านวิสัยทัศน์ ตามลำดับ</li> <li>ประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสำนักงานในเขตพื้นที่การศึกษาของระดับประถมศึกษากรุงเทพมหานคร โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณาจำแนกตามรายด้าน พบว่า มีระดับมากที่สุดทุก ๆ ด้าน โดยเรียงลำดับค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปหาน้อย ดังนี้ ด้านมีความสามารถการปรับเปลี่ยนและเพื่อสร้างการพัฒนา ด้านมีความสามารถการแก้ไขปัญหา ด้านมีความสามารถเพื่อการพัฒนาทัศนคติไปทางบวก และด้านมีความสามารถของการผลิตมีผลสัมฤทธิ์สูง ตามลำดับ</li> <li>สมรรถนะผู้บริหารส่วนประสิทธิผลสถานศึกษา สังกัดสำนักงานในเขตพื้นที่การศึกษาของระดับประถมศึกษากรุงเทพมหานคร มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูง และมีลักษณะคล้อยตามกัน</li> </ol> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2022 แนวทางการจัดการโฮมสเตย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหวในพื้นที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ 2025-05-07T09:09:19+07:00 อนุชิต จันทรโรทัย anuchit.c@dru.ac.th <p> การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยการเลือกที่พักแบบโฮมสเตย์ของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหว และ 2) เพื่อศึกษาแนวทางการจัดการโฮมสเตย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหวในพื้นที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ การวิจัยนี้ใช้แบบสอบถามปัจจัยการเลือกที่พักแบบโฮมสเตย์ โดยเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ คนพิการทางการเคลื่อนไหว จำนวน 400 คน และใช้เทคนิคเดลฟาย เก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จำนวน 17 คน โดยนำคำตอบที่ได้มาวิเคราะห์หาค่ามัธยฐานไม่ต่ำกว่า 3.50 ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ไม่เกิน 1.50 และค่าสัมบูรณ์ของผลต่างระหว่างมัธยฐานและฐานนิยมไม่เกิน 1.00 อีกทั้งคำตอบจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไม่เกินร้อยละ 15</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยการเลือกที่พักแบบโฮมสเตย์ของนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหว มีระดับความคิดเห็นอยู่ใน ระดับมาก โดยด้านที่พัก และ ด้านอาหารและโภชนาการ มีระดับความคิดเห็นอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนแนวทางการจัดการโฮมสเตย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหว แบ่งออกเป็น 10 ด้าน คือ 1) ด้านที่พัก ต้องมีขนาดห้องพัก ห้องน้ำที่รถ wheelchair สามารถเข้า-ออกได้สะดวก สะอาด ปลอดภัย นำแนวคิด Universal Design มาปรับใช้ให้เหมาะสม 2) ด้านอาหารและโภชนาการ ต้องมีเมนูอาหารที่เหมาะกับความต้องการของผู้สูงอายุ ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นเมนูอาหารประจำถิ่น 3) ด้านความปลอดภัย มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่พร้อมใช้งาน มีแผนการจัดการฉุกเฉิน และมีพนักงานที่พร้อมให้ความช่วยเหลือ 4) ด้านอัธยาศัยไมตรีของเจ้าบ้านและสมาชิก มีการอบรมผู้ให้บริการเรื่องของการให้บริการและทัศนคติในการต้อนรับผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหว และเคารพความเป็นส่วนตัว 5) ด้านรายการนำเที่ยว มีรายการนำเที่ยวที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหว และอบรมพัฒนาทักษะผู้ให้บริการในการนำเที่ยว 6) ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ควรให้ความสำคัญในการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท้องถิ่นในโฮมสเตย์ 7) ด้านวัฒนธรรม มีการต่อยอดกิจกรรมจากทุนทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน 8) ด้านการสร้างคุณค่าและมูลค่าของผลิตภัณฑ์ชุมชน ผลิตภัณฑ์ชุมชนควรมีเอกลักษณ์และเรื่องเล่าความเป็นมาให้แก่นักท่องเที่ยวได้จดจำและทดลองทำได้ 9) ด้านการบริหารของกลุ่มโฮมสเตย์ มีศูนย์กลางของชุมชนในการติดต่อประสานงานกับนักท่องเที่ยวและแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม และ 10) ด้านการประชาสัมพันธ์ ควรหา Influencer ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ใช้โซเชียลมีเดียที่มีความน่าสนใจในกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุและคนพิการทางการเคลื่อนไหว</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/1912 ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้ออาหาร ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ในกรุงเทพมหานครภายใต้ความปกติใหม่ 2025-01-14T09:14:22+07:00 อับดุร์ หมานรุน marnroonabduh@gmail.com นพวรรณ วิเศษสินธุ์ noppawan.t@dru.ac.th <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการซื้ออาหารร้านเท็กซัส ชิคเก้น ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร 2) เปรียบเทียบพฤติกรรมการซื้ออาหารร้านเท็กซัส ชิคเก้น จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลของผู้บริโภค และ 3) ศึกษาปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้ออาหารร้านเท็กซัส ชิคเก้น ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ในช่วงเวลาภายใต้ความปกติใหม่ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ซึ่งเลือกโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่ายจาก 10 สาขาของร้านเท็กซัส ชิคเก้น จากทั้งหมด 46 สาขา สาขาละ 40 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเท่ากับ 0.90 และค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเท่ากับ 0.95 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติการทดสอบที การทดสอบเอฟ การทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธีแอลเอสดี และการวิเคราะห์ถดถอยพหูคูณ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) พฤติกรรมการซื้ออาหาร ร้านเท็กซัส ชิคเก้น ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้บริโภคใช้บริการเฉลี่ย 2.84 ครั้งต่อเดือน โดยมีค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารเฉลี่ย 203.21 บาทต่อครั้ง ใช้เวลาในการใช้บริการในร้านเฉลี่ย 28.40 นาทีต่อครั้ง และใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันเฉลี่ย 2.31 ครั้งต่อเดือน 2) การทดสอบความแตกต่างของพฤติกรรมการซื้ออาหารตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลเหล่านี้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในด้านค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร ขณะที่พฤติกรรมอื่นๆ ได้แก่ จำนวนครั้งที่ใช้บริการในร้าน ระยะเวลาใช้บริการในร้าน และจำนวนครั้งที่ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญทางสถิติ และ 3) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 7 ด้าน พบว่าด้านกระบวนการส่งผลต่อจำนวนครั้งที่ใช้บริการในร้านและระยะเวลาในการใช้บริการในร้าน โดยสามารถอธิบายการผันแปรได้ร้อยละ 60.2 (R² = 0.602) และ 65.3 (R² = 0.653) ตามลำดับ และยังพบว่าด้านลักษณะทางกายภาพส่งผลต่อค่าใช้จ่ายต่อครั้งและจำนวนครั้งที่ใช้บริการผ่าน แอปพลิเคชัน โดยสามารถอธิบายการผันแปรได้ร้อยละ 30.8 (R² = 0.308) และ 63.5 (R² = 0.635) ตามลำดับ</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/1985 Cross Cultural Marketing Mix Strategies of Thai Brand in the Chinese Market: A Case Study of TN company 2025-01-30T14:02:45+07:00 Changjun peng 675301920@qq.com <p> The objectives of this research were : 1) to study cross-cultural product strategies of TN company in the Chinese, 2) to study cross-cultural price strategies of TN company in the Chinese, 3) to study cross-cultural place strategies of TN company in the Chinese, and 4) to study cross-cultural promotion strategies of TN company in the Chinese. This study employed qualitative methods. Data were collected from a sample of 15 participants, comprising 5 TN China regional executives, 5 loyal customers, and 5 industry experts, selected through a purposive sampling method. Data were analyzed by using thematic analysis to identify patterns and insights across interviews. </p> <p> The research findings revealed that : 1) product strategy : TN enhanced brand identity by adapting product flavors, packaging, and integrating Chinese cultural elements, aligning with local preferences while retaining its Thai heritage, 2) pricing and promotion strategies : the company adopted flexible pricing to address diverse market demands and implemented effective promotional campaigns, leveraging social media platforms and culturally resonant holiday marketing to boost engagement, and 3) place strategy : TN expanded its distribution channels to second and third-tier cities and strengthened partnerships with local retailers, improving accessibility and market coverage. </p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2425 Strategies to Improve Business Innovation of ABC Bank in Guangxi Province, China 2025-04-03T10:09:16+07:00 Chenghai Lu 760684179@qq.com Noppawan Wisedsind noppawan.t@dru.ac.th <p> The research aims to : 1) analyze the business environment of ABC Bank Guangxi Branch, 2) evaluate its SWOT factors, and 3) propose strategies to improve its business innovation. Employing a qualitative research methodology, data were collected through in-depth interviews with strategically selected stakeholders across various levels within the bank. Thematic analysis, supported by PEST, SWOT, and TOWS frameworks, was utilized to analyze the collected data.</p> <p> The findings showed : 1) ABC Bank Guangxi Branch encounters major challenges in its business environment due to external and internal factors. Externally, there's fierce market competition, rapid FinTech progress, changing regulations, and diverse customer needs. Internally, factors like organizational structure, culture, resource allocation, and operations affect innovation, efficiency, and competitiveness. 2) The SWOT analysis reveals the bank's strengths—large customer base, strong network, and financial service experience—but also weaknesses like a developing innovation culture, limited tech integration, and complex approvals. Opportunities include FinTech development, new markets, and improved internal management, while threats come from new FinTech entrants, regulatory changes, and shifting consumer behaviors. 3) Based on these analyses, the study suggests strategies to boost FinTech innovation, streamline internal processes, explore new business opportunities, and strengthen risk management and compliance. These aim to improve the bank's ability to adapt to market changes and customer expectations, fostering sustainable growth.</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/1986 Redefining Digital Marketing Strategies of Luxury Hotels in China: A Case Study of SL Hotel 2025-02-07T09:12:34+07:00 Huiru Chen 176373688@qq.com <p> This study deeply analyzes the current situation of SL hotel's digital marketing strategy, and puts forward the corresponding optimization suggestions. This study utilized qualitative research method, with data primarily collected conducting through literature review and in-depth interviews. A total of 15 in-depth interviews were conducted, including interviews with 5 department managers from SL luxury hotel, 5 loyal customers of the hotel, and 5 professors in the hotel industry.</p> <p> The research results show that SL hotels have several problems in the field of digital marketing, including the lack of depth and targeted content marketing strategy, search engine optimization (SEO) technology to be improved, and the potential of social media marketing has not been fully tapped. This study suggests that SL hotels should have deep insight into the needs of target customer groups, optimize content strategies, strengthen SEO technology, enhance the effectiveness of social media marketing, and focus on improving customer experience and personalized service. By implementing these strategies, SL Hotel is expected to improve the efficiency and effectiveness of its digital marketing, which thus stand out in the competitive market environment.</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/msdru/article/view/2316 Development of an Ontology-Based Recommendation System for Agricultural Product E-Commerce on the WooCommerce Platform: A case study of Wang Somza Local Enterprise Group in Phitsanulok Province 2025-03-19T17:21:28+07:00 Pramote Sittijuk pramotes@plu.ac.th Prissana Sooksiri prissana@plu.ac.th Surang Kongmuenruk surangk@plu.ac.th Thiyada Soithongpong thiyada@plu.ac.th Naruchit Rukliang naruchit@plu.ac.th <p> This study examines the use of an ontology-based recommendation system for agricultural product sales on the WooCommerce platform, specifically designed for the Wang Somza Local Enterprise Group in Phitsanulok Province. The objective is to improve the online shopping experience by providing personalized product recommendations, efficient order management, and better customer service.</p> <p> The ontology model is structured to organize and connect critical e-commerce data elements such as orders, customers, products, and reviews. It consists of three layers: the first layer covers basic e-commerce concepts; the second focuses on online sales-specific details; and the third categorizes agricultural products like oilseeds, herbs, and vegetables. This structure aids in data analysis, more accurate recommendations, and effective product management. Semantic Web Rule Language (SWRL) is used to create rules that infer valuable information from the ontology, enabling the system to offer personalized recommendations based on customer behavior, preferences, and past interactions. The algorithm combines database management (DBMS) with SPARQL queries to extract relevant data, search the database, and enhance recommendations using the ontology.</p> <p> Performance evaluation results indicate that the system is effective in retrieving relevant information, with high precision (0.90) and recall (0.85). Despite this, certain areas, such as customer support and order management, received lower satisfaction scores, indicating room for improvement in these aspects. Overall, the system's average satisfaction score (x̅= 4.24, SD = 0.60) reflects high satisfaction, with the system showing clear benefits in product discovery, personalized recommendations, and customer experience, while also identifying areas for further enhancement.</p> 2025-06-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2025 คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี