วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru <p>วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />Journal of Academic Surindra Rajabhat<br />ISSN 2822-0870 (Print)<br />ISSN 2822-0889 (Online)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ คือ</strong> <br />- ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์) <br />- ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน) <br />- ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) <br />- ฉบับที่ 4 (กรกฎาคม-สิงหาคม) <br />- ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม) <br />- ฉบับที่ 6 (พฤศจิกายน–ธันวาคม)</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้ ผลงานทางวิชาการทาง<br /></strong>- สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br />- การศึกษา<br />- การบริหารจัดการ<br />- การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน<br />- บทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่ท้องถิ่น สังคม ประเทศ</p> <p><strong>ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท</strong> ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ</p> <p>รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p>ทั้งนี้ วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์</p> ฝ่ายยุทธศาสตร์การยกรดับคุณภาพการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ th-TH วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ 2822-0870 การศึกษาผลกระทบของเจ้าพ่อปราสาททองเขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1036 <p>บทความนี้เป็นงานศึกษาผลกระทบของเจ้าพ่อปราสาททอง เขตพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยเก็บข้อมูล จากการศึกษาเอกสาร ข้อมูลความเชื่อ ผลกระทบและบทบาท มีการสัมภาษณ์เชิงลึก ร่วมกับการสัมภาษณ์พูดคุยแบบไม่เป็นทางการ เป็นหลักในการเก็บข้อมูลกับผู้กระทำการต่าง ๆ ภายใต้อาณาบริเวณ ที่ใช้ในการศึกษา ร่วมกับวิธีการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม กับผู้เกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบข้อมูลไปวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอข้อมูลเชิงพรรณนาวิเคราะห์.</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า. ความเชื่อที่มีต่อเจ้าพ่อปราสาททอง. ชุมชนโดยรอบเขาพนมรุ้ง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ความเชื่อที่มีต่อเชื่อเป็นดวงวิญญาณที่มีอำนาจเหนือมนุษย์ ที่มีบทบาทหน้าที่คุ้มครอง ดูแล และรักษาชุมชน. และผู้คนในชุมชนโดยรอบภูเขาพนมรุ้งแห่งนี้. เจ้าพ่อปราสาททองยังเป็นสัญลักษณ์ในความอุดมสมบูรณ์ด้านความปลอดภัย ความโชคดี. การเกษตรและฝน. พิธีกรรมของชุมชน. และมีฐานคติความเชื่อว่าจะนำมาซึ่ง. ความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตรและฟ้าฝนที่อำนวยในการทำการเกษตรรายย่อย. มักต้องการความปลอดภัยและความมีโชค และการประกอบธุรกิจการงานอาชีพของตนเอง. ผลกระทบจากพิธีกรรมของชุมชน (1) ด้านความเชื่อ (2) ด้านวัฒนธรรมและประเพณี (3) ด้านทางสังคม (4) ด้านเศรษฐกิจ (5) ด้านการปกครองในรูปแบบชุมชน (6) ผลกระทบที่เกิดจากความเชื่อที่มีต่อเจ้าพ่อปราสาททอง เป็นต้น</p> ยโสธารา ศิริภาประภากร สุริยา คลังฤทธิ์ เกริกวุฒิ กันเที่ยง น้ำฝน จันทร์นวล Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-10-31 2024-10-31 2 5 107 126 10.14456/jasrru.2024.35 ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค Learning Together (LT) ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1127 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง วงกลม ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค LT กับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง วงกลม ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค LT กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (cluster random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค LT 2) แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test for one sample)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง วงกลม ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค LT สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง วงกลม ของนักเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค LT สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ไกรศักดิ์ จันทรโกเมท สมฤทัย เย็นใจ Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-20 2024-09-20 2 5 1 14 10.14456/jasrru.2024.29 อิทธิพลทางตรง ทางอ้อม และผลรวมของความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล 4 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1116 <p>โดยทั่วไปการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการให้บริการประชาชนอาจเกิดความขัดแย้งได้จากหลากหลายปัจจัย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเลือกใช้แนวทางที่เหมาะสมกับปัจจัยนั้นเพื่อลดหรือขจัดความขัดแย้ง การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) ความพึงพอใจของประชาชนที่มีต่อการหลีกหนี การยอมตาม การบูรณาการ การใช้อำนาจ การประนีประนอม และความขัดแย้ง (2) อิทธิพลทางตรง ทางอ้อม และผลรวมของการหลีกหนี การยอมตาม การบูรณาการ การใช้อำนาจ การประนีประนอมที่มีต่อความขัดแย้ง โดยมีวิธีการดำเนินการวิจัยแบบเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพตะวันออกที่เคยใช้บริการและมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล 4 บนสถานีตำรวจจำนวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ประกอบด้วยสถิติพรรณนาได้แก่ ค่าต่ำสุด ค่าสูงสุด ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความเบ้ ค่าความโด่ง และเทคนิคการวิเคราะห์เส้นทาง</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า (1) ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจค่อนข้างมากกับแนวทางการใช้วิธีการยอมตาม (𝑥̅ = 3.47 จากคะแนนเต็ม 5 / S.D. = 0.57) และการประนีประนอม (𝑥̅ = 3.56 / S.D. = 0.58) ใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง และไม่ค่อยพึงพอใจกับการใช้อำนาจเพื่อลดความขัดแย้ง (𝑥̅ = 2.44 / S.D. = 0.14) (2) แนวทางการใช้อำนาจมีอิทธิพลทางตรงต่อความขัดแย้งมากที่สุด (ß = .877) ส่วนแนวทางการประนีประนอมมีอิทธิพลทั้งทางอ้อม (ß = 1.558) และผลรวม (ß = 2.426) มากที่สุดต่อความขัดแย้ง ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ให้บริการประชาชนบนสถานีตำรวจจำต้องใช้อำนาจตามบทบาทหน้าที่ หากแต่ไม่ให้เกินขอบเขตระหว่างการให้บริการประชาชน ต้องปฏิบัติตนตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของตำรวจที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด กรณีเกิดข้อขัดแย้งกับประชาชน ตำรวจต้องเลือกใช้วิธีการประนีประนอมเพื่อลดหรือขจัดความขัดแย้งนั้น</p> พิชศาล พันธุ์วัฒนา Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-20 2024-09-20 2 5 15 34 10.14456/jasrru.2024.30 การบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ให้รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1123 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ให้รองรับต่อการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์ เป็นการวิจัยแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ผู้วิจัยได้ 1) ออกแบบการวิจัยโดยใช้การวิจัยแบบผสมผสาน ประเภทลำดับต่อเนื่องเชิงอธิบาย 2) เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม และ 3) การหาฉันทามติ โดยมีผู้ร่วมวิจัย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู นักเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ผู้นำชุมชน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานและคณะกรรมการบริหารหลักสูตร ผลการศึกษาพบว่า ต้องมีการประเมินสภาวการณ์ การกำหนดวิสัยทัศน์ พันธกิจ เป้าหมาย ประเด็นยุทธศาสตร์ การกำหนดแผงงานโครงการ และการกำหนดแผนที่ยุทธศาสตร์ ซึ่งได้กำหนดแผนที่ยุทธศาสตร์ตามแนวตามทางการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ ทั้ง 4 ด้าน ภายใต้ทฤษฎีการบริหาร Balance Scorecard (BSC) ใน 4 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ด้านประสิทธิผล มิติที่ 2 ด้านคุณภาพการให้บริการ มิติที่ 3 ด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และ มิติที่ 4 ด้านการพัฒนาองค์การ มิติทั้ง 4 มิติแสดงถึงความเชื่อมโยงไปสู่ความสำเร็จ การบรรลุเป้าหมาย และการบรรลุวิสัยทัศน์ของการบริหารจัดการหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์</p> อนุชิต ลิ้วธนพนธ์ ประเวศ เวชชะ สุวดี อุปปินใจ Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-23 2024-09-23 2 5 35 52 10.14456/jasrru.2024.31 บุพปัจจัยที่ส่งผลต่อการป้องกันอาชญากรรมของตำรวจภูธรเมืองจังหวัดสุรินทร์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1086 <p>การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพทั่วไปของตัวแปรการให้การศึกษาสาธารณะ การปรับสภาพแวดล้อม การใช้กฎหมายและการลงโทษ การติดตั้งกล้องวงจรปิด และการป้องกันอาชญา กรรม 2) อิทธิพลของการให้การศึกษาสาธารณะ การปรับสภาพแวดล้อม การใช้กฎหมายและการลงโทษ การติดตั้งกล้องวงจรปิดที่มีต่อการป้องกันอาชญากรรม ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาคือ ประชาชนที่อาศัยใน 9 ตำบลของอำเภอเมืองสุรินทร์ ใช้เทคนิคการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง เก็บจากประชาชนที่อาศัยตำบล ๆ ละ 45 คน รวมทั้งสิ้น 405 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาได้แก่ อัตราส่วนร้อยละ และเทคนิคการวิเคราะห์เส้นทาง ผลการวิจัยพบว่า 1) ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจในระดับมากกับการให้การศึกษาสาธารณะ (𝑥̅ = 3.14 จากคะแนนเต็ม 5 / S.D. = 0.49) การปรับสภาพแวดล้อม (𝑥̅ = 3.08 / S.D. = 0.63) การใช้กฎหมายและการลงโทษ (𝑥̅ = 2.96 / S.D. = 0.52) และพึงพอใจจากการติดตั้งกล้องวงจรปิดระดับปานกลาง (𝑥̅ = 2.61 / S.D. = 0.44) 2) การติดตั้งวงจรปิดมีอิทธิพลทางตรงมากที่สุด (ß= .887) ต่อการป้องกันอาชญากรรม ส่วนการให้การศึกษาแก่สาธารณะมีอิทธิพลทางอ้อม (ß= 1.223) และผลรวม (ß= .2.039) มากที่สุดต่อการป้องกันอาชญากรรม</p> พิชศาล พันธุ์วัฒนา Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-25 2024-09-25 2 5 53 72 10.14456/jasrru.2024.32 นวัตกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการงานอาชีพในยุคปัญญาประดิษฐ์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1084 <p>บทความวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเรื่อง “นวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงรุก<br />เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence Era)” มีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอนวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence Era) โดยใช้วิธีการวิจัยแบบมีส่วนร่วมโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน (Community-based participatory research : CBPR) ผู้วิจัยได้ออกแบบการวิจัยโดยใช้ 1) การวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ประเภทลำดับต่อเนื่องเชิงสำรวจ (Exploratory sequential designs) 2) เทคนิคกระบวนการวางแผนแบบมีส่วนร่วม (Appreciation-Influence Control : AIC) และ 3) การหาฉันทามติ (Consensus) </p> <p> ผลการศึกษา พบว่า นวัตกรรมการบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้<br />กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์ ต้องมีการประเมินสภาวการณ์ การกำหนดวิสัยทัศน์ (Vision) พันธกิจ (Mission) เป้าหมาย (Goal) <br />ประเด็นยุทธศาสตร์ (Strategic Objective) แผนงานโครงการ (Initiative) และแผนที่ยุทธศาสตร์ (Strategy Map) ซึ่งได้กำหนดแผนที่ยุทธศาสตร์ตามแนวตามทางการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ทั้ง 4 ด้าน ภายใต้ทฤษฎีการบริหาร Balance Scorecard (BSC) <br />ใน 4 มิติ ประกอบด้วย มิติที่ 1 ด้านประสิทธิผล มิติที่ 2 ด้านคุณภาพการ มิติที่ 3 ด้านประสิทธิภาพกระบวนการภายใน และ มิติที่ 4 ด้านการพัฒนาองค์กรและบุคลากร มิติทั้ง 4 มิติแสดงถึงความเชื่อมโยงไปสู่ความสำเร็จ การบรรลุเป้าหมาย และการบรรลุวิสัยทัศน์ของการบริหารจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพให้รองรับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัญญาประดิษฐ์</p> ชัชชาย จีระวัฒน์วงศ์ ประเวศ เวชชะ พูนชัย ยาวิราช Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-09-25 2024-09-25 2 5 73 90 10.14456/jasrru.2024.33 การบริหารจัดการความขัดแย้งมิติสิ่งแวดล้อม (Conflict Mapping) : กรณีศึกษาฝุ่น PM 2.5 จังหวัดเชียงรายและจังหวัดเชียงใหม่ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1021 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพโดย วัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์เหตุการณ์ความขัดแย้งมิติทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อไปออกแบบและสร้างระบบการจัดเก็บฐานข้อมูลและสำรวจข้อมูลแผนที่ความขัดแย้งอย่างเป็นระบบและมีมาตรฐาน สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ความขัดแย้ง (analyzing a conflict situations) ได้อย่างทันท่วงที 2) เพื่ออธิบายวิกฤตฝุ่น PM2.5 ในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ 3) เพื่อนำฐานข้อมูลความขัดแย้งด้านฝุ่น PM2.5 พัฒนาสู่รูปแบบแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ และระบบเตือนภัยความขัดแย้งรุนแรง (Violence –Conflict Early Warning System Database) มีระบบแจ้งเตือน (warning system) สำหรับเฝ้าระวังสถานการณ์ความขัดแย้ง (monitoring conflict situations) ให้กับสังคมไทย โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยเป็น 4 กลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและประชาชนที่เกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การศึกษาข้อมูลวิเคราะห์เหตุการณ์ความขัดแย้งเรื่องฝุ่น PM2.5 พบว่าเป็นปัญหาเรื่องมาตรการการจัดการทั้งภายในและภายนอกประเทศ 2 ) ปรากฏการณ์วิกฤตฝุ่น PM2.5 เชียงใหม่และเชียงรายมีการบริหารจัดการที่แตกต่างกันโดยจังหวัดเชียงรายมีภาคประชาสังคมที่เข้มแข็งในการจัดการได้ดี 3) ฐานข้อมูลความขัดแย้งด้านฝุ่น PM2.5 สามารถพัฒนาสู่รูปแบบแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ และระบบเตือนภัยความขัดแย้งรุนแรง (Violence –Conflict Early Warning System Database) ได้ซึ่งข้อเสนอแนะคือการทำงานฐานข้อมูลร่วมกันทั้งแนวระนาบและแนวดิ่งของภาครัฐและภาคประชาชนจะเป็นประโยชน์มาก</p> อภิญญา ดิสสะมาน Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-10-31 2024-10-31 2 5 91 106 10.14456/jasrru.2024.34