วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru <p>วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />Journal of Academic Surindra Rajabhat<br />ISSN 2822-0870 (Print)<br />ISSN 2822-0889 (Online)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ คือ</strong> <br />- ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์) <br />- ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน) <br />- ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) <br />- ฉบับที่ 4 (กรกฎาคม-สิงหาคม) <br />- ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม) <br />- ฉบับที่ 6 (พฤศจิกายน–ธันวาคม)</p> <p>ทั้งนี้ วารสารจะตีพิมพ์บทความ 12 - 15 บทความ ต่อฉบับ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้ ผลงานทางวิชาการทาง<br /></strong>- สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br />- การศึกษา<br />- การบริหารจัดการ<br />- การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน<br />- บทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่ท้องถิ่น สังคม ประเทศ</p> <p><strong>ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท</strong> ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ</p> <p>รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) ดังนี้<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 3,500 บาท/ บทความ<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท/ บทความ<br />โดยจะเรียกเก็บค่าตีพิมพ์บทความสำหรับบทความที่ส่งเข้าระบบ ในปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป<br /><br /><strong>คำชี้แจง</strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br />1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br />1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br />2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ<br />3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br />ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินผ่านระบบวารสาร โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p> ฝ่ายยุทธศาสตร์การยกรดับคุณภาพการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ th-TH วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ 2822-0870 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์กับความผูกพันต่อองค์การของครูในสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา กรุงเทพมหานคร เขต 2 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2120 <p>ที่มาและวัตถุประสงค์ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา และ ความผูกพันต่อองค์การของครู ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 2 รวมถึง ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสองปัจจัยนี้ วิธีการวิจัย ใช้การวิจัยเชิงปริมาณโดยเก็บข้อมูลจาก ครูจำนวน 357 คน ที่สุ่มตัวอย่างจาก 6 สหวิทยาเขต การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย (x̅), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD), และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p>ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า</p> <p>1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารอยู่ในระดับสูง 2) ความผูกพันต่อองค์การของครูอยู่ในระดับสูงสุด 3) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์การของครู ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01</p> <p>ดังนั้น การส่งเสริมภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ในโรงเรียนอาจเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่ม ความผูกพันต่อองค์การของครู และส่งผลต่อคุณภาพการศึกษา</p> ธัชกร มโนวงค์ อำนวย ทองโปร่ง Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-25 2025-04-25 3 2 1 16 10.14456/jasrru.2025.7 การประเมินความต้องการจำเป็นในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูคณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2134 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาและจัดลำดับความต้องการจำเป็นในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี และ 2) เปรียบเทียบค่าดัชนีความต้องการจำเป็นในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนจำแนกตามสาขาวิชาเอก กลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาที่ออกฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ปีการศึกษา 2567 จำนวน 432 คน จาก 11 สาขาวิชา ได้แก่ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ การศึกษาปฐมวัย สังคมศึกษา พลศึกษา วิทยาศาสตร์ทั่วไป อุตสาหกรรมศิลป์ ดนตรีศึกษา เทคโนโลยี และคหกรรมศาสตร์ศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบประเมินความต้องการจำเป็นของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในการทำวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ซึ่งเป็นแบบมาตรประเมินค่า 5 ระดับ ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ ด้านทักษะ และด้าน เจตคติ มีค่าความเที่ยงเท่ากับ 0.995 ค่าความตรง เชิงเนื้อหาทุกข้อคำถามมีค่าเท่ากับ 1.00 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่า ดัชนีความต้องการจำเป็นแบบปรับปรุง () </p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านที่มีความต้องการจำเป็นมากที่สุดคือด้านทักษะ ( = 0.06) โดยเฉพาะในประเด็นการจัดทำสื่อประกอบการนำเสนอผลการวิจัย การสร้างเครื่องมือวิจัยในรูปแบบออนไลน์ และการนำผลการสะท้อนคิดมาปรับปรุงการปฏิบัติงาน รองลงมาคือด้านความรู้และด้านเจตคติ ซึ่งมีค่า เท่ากัน( = 0.05) โดยด้านความรู้มีความต้องการจำเป็นมากที่สุดในประเด็นการเข้าใจความหมายและความสำคัญของการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนและการเข้าใจหลักการพื้นฐานของจริยธรรมการวิจัย ส่วนด้านเจตคติมีความต้องการจำเป็นสูงสุดในประเด็นความกระตือรือร้นในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและความเชื่อมั่นในการใช้การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน 2) ผลการเปรียบเทียบค่าดัชนีความต้องการจำเป็นจำแนกตามสาขาวิชาพบว่า สาขาวิชาที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุดคือ สาขาวิชาคณิตศาสตร์และ คหกรรมศาสตร์ศึกษา (= 0.13) โดยเฉพาะในด้านการแปลผลและสรุปผล การเขียนรายงานการวิจัย และการบูรณาการการวิจัยกับการจัดการเรียนการสอน รองลงมาคือสาขาวิชาอุตสาหกรรมศิลป์และดนตรีศึกษา (= 0.07) ส่วนสาขาวิชาที่มีความต้องการจำเป็นต่ำสุดคือสาขาวิชาเทคโนโลยี ( = 0.01).ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โดยเฉพาะในด้านทักษะการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน</p> ภูชิต ภูชำนิ จุฑามาศ แสงงาม จุฑาภรณ์ มาสันเทียะ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 17 28 10.14456/jasrru.2025.8 การพัฒนาหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐานวิชาฉันทศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2143 <p>บทความนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและศึกษาผลการใช้หนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งเสริมการฝึกปฏิบัติขั้นพื้นฐานวิชาฉันทศึกษา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ที่มีประสิทธิภาพ หนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์มีลักษณะเป็นสื่อที่นำเสนอในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ประกอบด้วยตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ และวิดีทัศน์สาธิตทักษะการใช้อุปกรณ์ขั้นพื้นฐาน มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานในการใช้อุปกรณ์ โดยกลุ่มทดลองที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มทดลองที่ใช้ในการหาคุณภาพและประสิทธิภาพ จำนวน 42 คน เป็นนักเรียนที่เลือกเรียนฐานการเรียนรู้เย็บปักถักร้อย ฐานการเรียนรู้แอนิเมชัน ฐานการเรียนรู้ประกอบอาหาร 2) กลุ่มทดลองที่ใช้ในการศึกษาผลการใช้จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ หนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ แบบประเมินหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะปฏิบัติขั้นพื้นฐาน แบบประเมินชิ้นงาน และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาประสิทธิภาพ E1/E2 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพของหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 4.72, S.D. = 0.45) มีประสิทธิภาพ 90.28 / 96.28 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ส่วนผลการใช้หนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า นักเรียนมีทักษะในการปฏิบัติขั้นพื้นฐานทั้ง 3 ฐานการเรียนรู้ อยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 2.33, S.D.= 0.62) และผลการประเมินชิ้นงานของนักเรียนที่เลือกเรียนฐานการเรียนรู้ทั้ง 3 ฐานการเรียนรู้ มีคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 2.39, S.D.=0.64) อีกทั้งความพึงพอใจของนักเรียนจากการเรียนผ่านหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 2.45, S.D. = 0.54)</p> พิไลพร หวังทรัพยทวี ณกฤติ พิศาลสารกิจ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 29 42 10.14456/jasrru.2025.9 การพัฒนาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะ เรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2144 <p>บทความนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) หาประสิทธิภาพหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะ เรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทย 2) ศึกษาผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะ เรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียมีเนื้อหา 7 เรื่อง ได้แก่ 1) เครื่องมือทางภูมิศาสตร์ 2) ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทย 3) รูปร่างขนาดของประเทศไทย 4) อาณาเขตและพรมแดน 5) ภูมิประเทศและแหล่งน้ำ 6) ทรัพยากรธรรมชาติ 7) วัฒนธรรมและประเพณีไทย 4 ภาค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสาธิต มศว ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้หาประสิทธิภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดีย จำนวน 42 คน 2) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดีย จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะเรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทย แผนการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยก่อนและหลังเรียน โดยทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระจากกัน (t-test Dependent Sample) ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะ เรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทย มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 4.13, S.D. = 0.78) มีประสิทธิภาพ 80.67 / 85.33 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ส่วนผลการใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะ เรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทยพบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการเรียนผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มัลติมีเดียแบบสืบเสาะ เรื่องภูมิศาสตร์ประเทศไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> เฉลิมชนม์ กรีหิรัญ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 43 56 10.14456/jasrru.2025.10 ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อดิจิทัล เรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น เพื่อส่งเสริมทักษะท่ารำโขน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2146 <p>บทความนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาสื่อดิจิทัล เรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น เพื่อส่งเสริมทักษะท่ารำโขน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) ที่เรียนจากสื่อดิจิทัลเรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น ในการส่งเสริมทักษะท่ารำโขน 3) ศึกษาความพึงพอใจจากการเรียนโดยใช้สื่อดิจิทัล เรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้นในการส่งเสริมทักษะท่ารำโขน สื่อดิจิทัลเรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น เป็นสื่อที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฝึกท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้นที่ใช้ในการเรียนโขน มี 3 เรื่อง ดังนี้ 1) นามศัพท์ 2) กิริยาศัพท์ 3) นาฏยศัพท์เบ็ดเตล็ด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชายที่เรียนวิชานาฏศิลป์และโขน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ สื่อดิจิทัลเรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น แบบประเมินคุณภาพสื่อดิจิทัลเรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น เรื่องภาษาท่าของโขน แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินทักษะท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาประสิทธิภาพ E1/E2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test Dependent Sample) ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพของสื่อดิจิทัล เรื่อง ท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น มีคุณภาพอยู่ในระดับดี (x̄ = 4.09, S.D. = 0.77) มีประสิทธิภาพ 80.50/87.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ส่วนผลการใช้สื่อดิจิทัลเรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการเรียนผ่านสื่อดิจิทัล เรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และนักเรียนกลุ่มนี้มีทักษะท่ารำโขนโดยรวมอยู่ในระดับดี (x̄ = 4.10, S.D.=0.64) อีกทั้งความพึงพอใจของนักเรียนจากการเรียนผ่านสื่อดิจิทัล เรื่องท่ารำนาฏยศัพท์เบื้องต้น พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับดี (x̄ = 4.23 , S.D. = 0.68)</p> เสฏฐวุฒิ บรรดาศักดิ์ ชนินันท์ ยอดนาม Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 57 70 10.14456/jasrru.2025.11 อิทธิพลของการบอกต่อบนโซเชียลมีเดียและการรับรู้ตราสินค้าต่อความตั้งใจซื้อในร้านอาหารขนมเส้นคุณย่า https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2155 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาและหาความสัมพันธ์ของปัจจัยทางการตลาด ได้แก่ 1. เพื่อศึกษาทัศนคติของผู้บริโภคที่มีผลต่อความตั้งใจซื้อในร้านอาหารขนมเส้นคุณย่า 2. เพื่อศึกษาผลกระทบของการบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย ที่มีต่อความตั้งใจซื้อในร้านอาหารขนมเส้นคุณย่า 3. เพื่อศึกษาผลของการรับรู้ตราสินค้าที่มีต่อความตั้งใจซื้อในร้านอาหารขนมเส้นคุณย่า 4. เพื่อศึกษาผลของการบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย ที่มีต่อการรับรู้ตราสินค้าของร้านอาหารขนมเส้นคุณย่า 5. เพื่อศึกษาทัศนคติของผู้บริโภคที่มีผลต่อการบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย ในบริบทของร้านอาหารขนมเส้นคุณย่า จากการรวบรวมแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 ชุด แบ่งเป็นเพศชาย 187 คน เพศหญิง 169 คน และเพศทางเลือก (LGBTQ+) 44 คน คือ ผู้ที่ใช้บริการขนมเส้นคุณย่า สาขาพัทยา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติวิเคราะห์ค่าการถดถอยอย่างง่าย ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ SPSS</p> <p> ผลวิจัยในครั้งนี้ พบว่า 1) ทัศนคติ ประกอบด้วย ด้านคุณค่าหลัก ด้านรูปลักษณะ ด้านความคาดหวังและด้านศักยภาพ ที่มีอิทธิพลต่อการบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย ด้านการรับรู้ถึงความน่าไว้วางใจ ด้านการรับรู้การแสดงความคิดเห็น ด้านการรับรู้คุณภาพ และด้านการรับรู้ความเข้ากันได้กับผู้รับสาร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ทัศนคติ ประกอบด้วย ด้านคุณค่าหลัก ด้านรูปลักษณะ ด้านความคาดหวังและด้านศักยภาพ ที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) การบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย ประกอบไปด้วย ด้านการรับรู้ถึงความน่าไว้วางใจ ด้านการรับรู้การแสดงความคิดเห็น ด้านการรับรู้คุณภาพ และด้านการรับรู้ความเข้ากันได้กับผู้รับสาร ที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ตราสินค้า 4) การบอกต่อบนโซเชียลมีเดีย ประกอบด้วยด้านการรับรู้ถึงความน่าไว้วางใจ ด้านการรับรู้การแสดงความคิดเห็น ด้านการรับรู้คุณภาพ และด้านการรับรู้ความเข้ากันได้กับผู้รับสาร ที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 5) การรับรู้ตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชินภัทร บุตรโคตร ปรียาวรรธน์ จอมประเสริฐ พลอยชยา มะนะเสน อนันต์ชัย ศรีสุข ทัชชกร สัมมะสุต Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 71 86 10.14456/jasrru.2025.12 พฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลและความพึงพอใจของผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจ ของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2302 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับข้อมูลของผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง 2) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม<br />การเปิดรับข้อมูลของผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง และ 4) ศึกษาปัจจัย<br />ส่วนบุคคลที่แตกต่างกันส่งผลต่อระดับความพึงพอใจของผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง</p> <p> กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง จำนวน 400 คน ผลวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง คิดเป็น <br />ร้อยละ 62.5 อายุอยู่ในช่วงอายุ 25-34 ปี คิดเป็นร้อยละ 27.0 ระดับการศึกษามีการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 55.3 ภูมิลำเนาอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 22.8 และอาชีพเป็นข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 26.5 พบว่า ความพึงพอใจของผู้ติดตามเฟซบุ๊กแฟนเพจของหน่วยงานราชการระดับกระทรวงแห่งหนึ่ง ในด้านเนื้อหาและข้อมูล อยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.20, S.D=0.442) และด้านรูปแบบและการใช้งาน อยู่ในระดับมาก (𝑥̅=4.13, S.D=0.495) โดยผู้ติดตามที่มีภูมิลำเนาและอาชีพต่างกัน มีระดับความพึงพอใจต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05</p> สุทธินันท์ ไทยประดิษฐ ธัญปวีณ์ รัตน์พงศ์พร Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 87 100 10.14456/jasrru.2025.13 ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้บริหารมืออาชีพกับการบริหารงานวิชาการของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระแก้ว https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2308 <p><strong>บทคัดย่อ (</strong><strong>Abstract)</strong></p> <p> </p> <p>ที่มาและวัตถุประสงค์ งานวิจัยนี้มีเป้าหมายเพื่อ ศึกษาความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ และ การบริหารงานวิชาการ ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสระแก้ว รวมถึง ความสัมพันธ์ระหว่างสองปัจจัยนี้ วิธีการวิจัย ใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้ แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง 260 คน ที่สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) และสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ ค่าเฉลี่ย (x̅), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD), และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน</p> <p> ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า 1) ความเป็นผู้บริหารมืออาชีพของผู้บริหารโรงเรียน อยู่ในระดับสูง 2) การบริหารงานวิชาการของโรงเรียน อยู่ในระดับสูงสุด 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นผู้บริหารมืออาชีพกับการบริหารงานวิชาการ อยู่ในระดับปานกลาง (r = 0.65, p &lt; 0.01)</p> กมลทิพย์ อุสารัมย์ อำนวย ทองโปร่ง Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 101 112 10.14456/jasrru.2025.14 พฤติกรรมทางการออมเงินของกำลังพลทหารเรือต่อเป้าหมายทางการออมเงินตามแนวคิดลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2315 <p>งานวิจัยฉบับนี้เป็นงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยเศรษฐกิจสังคม และพฤติกรรมในการออมเงินของกำลังพลของข้าราชการทหารเรือต่อเป้าหมายการออมเงินตามทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ งานวิจัยนี้มีกลุ่มตัวอย่างเป็นกำลังพลกองทัพเรือจำนวน 569 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน จากผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมทางการออมเงินของกำลังพลทหารเรือมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายการออมที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในลำดับขั้นที่ 5 ของมาสโลว์ (Self-Actualization) ซึ่งเชื่อมโยงกับ การออมเพื่อผลตอบแทน (r = .513) การออมเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในอนาคต (r = .500) และ การออมเพื่อซื้อสินทรัพย์ (r = .481) นอกจากนี้การวิเคราะห์การถดถอยพบว่า การออมเพื่อผลตอบแทน, แหล่งเงินทุนในอนาคต,ใช้จ่ายในสิ่งที่ตนเองต้องการ, การซื้อสินทรัพย์ และยามเกษียณ เป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยพยากรณ์เป้าหมายทางการเงินของกำลังพลได้ (R² = .410, p &lt; .05)</p> <p> สรุปได้ว่ากำลังพลของกองทัพเรือมีความมั่นคงทางการเงินในระดับพื้นฐานครอบคลุมเป้าหมายทางการเงินทั้ง 4 ระดับต้นตามแนวคิดทฤษฎีของมาสโลว์ และในปัจจุบันกำลังพลกองทัพเรือให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนเพื่ออนาคตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการออมเงินเพื่อความความต้องการรับรู้ด้านศักยภาพของตนเอง โดยผู้เขียนหวังว่าผลลัพธ์จากงานวิจัยชิ้นนี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในอนาคตได้</p> <p> งานวิจัยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นกำลังพลกองทัพเรือจำนวน 569 คน ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน จากผลการศึกษาพบว่า พฤติกรรมทางการออมเงินของกำลังพลทหารเรือมีความสัมพันธ์กับเป้าหมายการออมที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะในลำดับขั้นที่ 5 ของมาสโลว์ (Self-Actualization) ซึ่งเชื่อมโยงกับ การออมเพื่อผลตอบแทน (r = .513) การออมเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในอนาคต (r = .500) และ การออมเพื่อซื้อสินทรัพย์ (r = .481) นอกจากนี้การวิเคราะห์การถดถอยพบว่า การออมเพื่อผลตอบแทน, แหล่งเงินทุนในอนาคต,ใช้จ่ายในสิ่งที่ตนเองต้องการ, การซื้อสินทรัพย์ และยามเกษียณ เป็นตัวแปรสำคัญที่ช่วยพยากรณ์เป้าหมายทางการเงินของกำลังพลได้ (R² = .410, p &lt; .05)</p> <p> สรุปได้ว่ากำลังพลของกองทัพเรือมีความมั่นคงทางการเงินในระดับพื้นฐานครอบคลุมเป้าหมายทางการเงินทั้ง 4 ระดับต้นตามแนวคิดทฤษฎีของ Maslow และให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนเพื่ออนาคต โดยผู้เขียนหวังว่าผลลัพธ์จากงานวิจัยชิ้นนี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในอนาคตได้</p> ธวัชชัย เทียนบุญส่ง ธวัลพร มะรินทร์ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 113 126 10.14456/jasrru.2025.15 การบริหารงานการเงินการคลังที่มีผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2368 <p>งานวิจัยนี้ เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับการบริหารงานการเงินการคลังของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ 2) ศึกษาระดับประสิทธิภาพ การปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ และ 3) ศึกษาการบริหารงาน การเงินการคลังที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดสุรินทร์ ประชากร ได้แก่ บุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ บุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 239 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า 1) กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยกับการบริหารงานการเงินการคลังของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์มากที่สุด คือ ด้านการบันทึกบัญชี รองลงไป ได้แก่ ด้านการจัดซื้อจัดจ้าง ด้านการรับ - จ่ายเงิน ด้านความสามารถของบุคลากร ด้านระเบียบและ แนวทางการปฏิบัติงาน และด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ตามลำดับ 2) กลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์มากที่สุด คือ ด้านผลสัมฤทธิ์ความถูกต้องครบถ้วน รองลงไป ได้แก่ ด้านสามารถตรวจสอบได้ และด้านความเสร็จ ทันตามเวลาที่กำหนด ตามลำดับ และ 3) การบริหารงานการเงินการคลัง จำนวน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านการบันทึกบัญชี ด้านระเบียบและแนวทางการปฏิบัติงาน ด้านความสามารถของบุคลากร และด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของบุคลากรกองคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดสุรินทร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p> นภัสวรรณ โพธิ์สิทธิ์ ชนม์ณัฐชา กังวานศุภพันธ์ ปีย์วรา พานิชวิทิตกุล Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 127 140 10.14456/jasrru.2025.16 บทบาทอิทธิพลตัวแปรคั่นกลางพหุขนานของปัจจัยที่มีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่าง การสอนสู่ผลการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2392 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาคุณภาพการสอนการเรียนของคณาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ 2. เพื่อศึกษาอิทธิพลตัวแปรขั้นกลางพหุขนานของปัจจัยการสอนและปัจจัยการเรียน ประกอบด้วย คุณภาพการสอน กระบวนการเรียน พฤติกรรมการเรียนของนักศึกษา และคุณลักษณะที่พึงประสงค์นักศึกษา เป็นปัจจัยเชื่อมโยงมีอิทธิพลของคุณภาพต่อคณาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณด้วยวิธีการวิจัยเชิงสำรวจกับประชากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ คณาจารย์และนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ จำนวน 249 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม มีการตอบกลับครบทุกฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย คือ การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ตัวแปรคั่นนกลางพหุขนานสมการโครงสร้างโดยใช้โปรแกรม JASP 0.1.7.3.0 และ Smart PLS4</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า1) คุณภาพการสอน กระบวนการเรียน พฤติกรรมการเรียนของนักศึกษาและคุณลักษณะที่พึงประสงค์นักศึกษามีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ระดับสูงสุด (= 4.72, SD= 0.61) ด้านค่าเฉลี่ยสูงสุดปัจจัยด้านคุณภาพการสอนมีค่าเฉลี่ย (= 4.61, SD= 0.58) และปัจจัยด้านคุณลักษณะพึงประสงค์ของนักศึกษามีค่าเฉลี่ยรวมต่ำสุด (= 4.50, SD= 0.75) ตามลำดับ</p> <p> 2) อิทธิพลทางอ้อมเชิงพหุขนานอยู่ในช่วงของผลคูณสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างมีค่าความผันแปร <strong>(R<sup>2</sup>) </strong>เท่ากับ 0.331, 0.548 และมีขอบเขตบนมีค่าความผันแปร <strong>(R<sup>2</sup>)</strong> เท่ากับ 0.626, 0.754 ตามลำดับ จึงสรุปได้ว่า เส้นทางผลคูณสัมประสิทธิ์เส้นทางของ กระบวนการเรียน และพฤติกรรมการเรียนนักศึกษาเป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงอิทธิพล ของการจัดการศึกษาของสาขาวิชาสู่ผลการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสนศาสตร์มีค่าอิทธิพลทางอ้อมเชิงพหุขนานไม่ถึง 0 อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพการสอน กระบวนการเรียน พฤติกรรมการเรียนของนักศึกษา และคุณลักษณะที่พึงประสงค์นักศึกษามีค่าเฉลี่ยรวมอยู่ระดับสูงสุด (= 4.72, SD= 0.61) ด้านค่าเฉลี่ยสูงสุดปัจจัยด้านคุณภาพการสอนมีค่าเฉลี่ย (= 4.61, SD= 0.58) และปัจจัยด้านคุณลักษณะพึงประสงค์ของนักศึกษามีค่าเฉลี่ยรวมต่ำสุด (= 4.50, SD= 0.75) ตามลำดับ อิทธิพลทางอ้อมเชิงพหุขนานอยู่ในช่วงของผลคูณสัมประสิทธิ์ขอบเขตล่างมีค่าความผลันแปร <strong>(R<sup>2</sup>) </strong>เท่ากับ 0.331, 0.548 และมีขอบเขตบนมีค่าความผลันแปร <strong>(R<sup>2</sup>)</strong> เท่ากับ 0.626, 0.754 ตามลำดับ จึงสรุปได้ว่า เส้นทางผลคูณสัมประสิทธิ์เส้นทางของ กระบวนการเรียน และพฤติกรรมการเรียนนักศึกษาเป็นปัจจัยคั่นกลางพหุขนานที่เชื่อมโยงอิทธิพล ของการจัดการศึกษาของสาขาวิชาสู่ผลการเรียนของนักศึกษาสาขาวิชารัฐประศาสนศาสนศาสตร์มีค่าอิทธิพลทางอ้อมเชิงพหุขนานไม่ถึง 0 อย่างมีนัยสำคัญ</p> ธนพัฒน์ จงมีสุข ธัญญรัตน์ พุฑฒิพงษ์ชัยชาญ สถาพร วิชัยรัมย์ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 141 154 10.14456/jasrru.2025.17 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถภาพทางกายกับผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอลของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2435 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถภาพทางกายกับผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอลของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 198 คน จากโรงเรียนวัดหนองใหญ่ สังกัดสำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบทดสอบสมรรถภาพทางกาย ได้แก่ การวิ่งระยะทาง 50 เมตร เพื่อวัดความเร็ว และการวิ่ง ซิกแซกเพื่อวัดความคล่องตัว รวมทั้งแบบประเมินผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอลจากทักษะพื้นฐาน ได้แก่ การเสิร์ฟ การตบ การรับลูก และการเคลื่อนไหวในสนาม โดยเครื่องมือทั้งสองชุดผ่านการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน เพื่อความถูกต้องของเนื้อหา และแบบประเมินทักษะยังได้รับการตรวจสอบความเชื่อมั่นระหว่างผู้ประเมิน (Cohen’s Kappa = 0.86) ซึ่งอยู่ในระดับเชื่อถือได้สูง จึงสามารถนำมาใช้เก็บข้อมูลได้อย่างเหมาะสม</p> <p>การเก็บข้อมูลดำเนินการทั้งก่อน (Pre-test) และหลังการทดสอบ (Post-test) โดยใช้สถิติ เชิงพรรณนา และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient) ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถภาพทางกายกับผลสัมฤทธิ์ทางกีฬา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความเร็วมีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับปานกลางถึงสูงกับผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอล (r = -0.62, p &lt; 0.01) ส่วนความคล่องตัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอล (r = 0.74, p &lt; 0.001) แสดงให้เห็นว่านักเรียนที่มีความคล่องตัวสูงมักจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเล่นที่ดีกว่า</p> <p>ผลจากงานวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการฝึกซ้อมกีฬาโดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเน้นการพัฒนาองค์ประกอบทางสมรรถภาพที่สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ได้แก่ ความเร็วและความคล่องตัว รวมถึงสามารถใช้เป็นแนวทางในการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอนพละศึกษา หรือกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพนักเรียนด้านกีฬา และอาจต่อยอดไปสู่การพัฒนานักกีฬายุวชนได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว</p> <p>การเก็บข้อมูลดำเนินการทั้งก่อน (Pre-test) และหลังการทดสอบ (Post-test) โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson’s correlation coefficient) ในการตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถภาพทางกายกับผลสัมฤทธิ์ทางกีฬา</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ความเร็วมีความสัมพันธ์เชิงลบในระดับปานกลางถึงสูงกับผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอล (r = -0.62, p &lt; 0.01) ส่วนความคล่องตัวมีความสัมพันธ์เชิงบวกในระดับสูงกับผลสัมฤทธิ์ในการเล่นวอลเลย์บอล (r = 0.74, p &lt; 0.001) แสดงให้เห็นว่านักเรียนที่มีความคล่องตัวสูงมักจะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเล่นที่ดีกว่า</p> <p> ผลจากงานวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการฝึกซ้อมกีฬาโดยเฉพาะในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น โดยเน้นการพัฒนาองค์ประกอบทางสมรรถภาพที่สัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ ได้แก่ ความเร็วและความคล่องตัว รวมถึงสามารถใช้เป็นแนวทางในการออกแบบโปรแกรมการเรียนการสอนพละศึกษา หรือกิจกรรมส่งเสริมศักยภาพนักเรียนด้านกีฬา และอาจต่อยอดไปสู่การพัฒนานักกีฬายุวชนได้อย่างเหมาะสมในระยะยาว</p> ชลธิชา แก้วมี โสภิดา ทองรอด Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 155 168 10.14456/jasrru.2025.18 จุดเน้นเชิงสาระและจุดเน้นเชิงกระบวนการของโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน: กรณีศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของ โรงเรียนประดู่แก้วประชาสรรค์ จังหวัดสุรินทร์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2303 <p>บทความนี้ประกอบไปด้วย ความหมาย พัฒนาการของสิ่งแวดล้อมศึกษา ตลอดจนจุดเน้นเชิงสาระและจุดเน้นเชิงกระบวนการที่ส่งเสริมการขับเคลื่อนโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การศึกษาครั้งนี้ใช้โรงเรียนประดู่แก้วประชาสรรค์ จังหวัดสุรินทร์เป็นกรณีศึกษา เนื่องจากเป็นโรงเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศด้านการดำเนินงานสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทโรงเรียนขนาดเล็ก โดยองค์ประกอบของบทความวิชาการนี้ เป็นผลลัพธ์จากวัตถุประสงค์ของคณะผู้เขียนที่ต้องการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และถอดหลักการวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของการดำเนินงานโรงเรียนสิ่งแวดล้อมศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในบริบทโรงเรียนแห่งนี้ ผ่านวิเคราะห์จุดเน้นเชิงสาระและจุดเน้นเชิงกระบวนการตามแนวคิดวิจัยการออกแบบ</p> อนุรักษ์ นิลหุต เจษฎา ลาภจิตร สุมาลี วงค์หอม สุจิตรา สังข์เงิน มนทกานต์ จารัตน์ สุนันทา ศิลปวิเศษ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 169 182 10.14456/jasrru.2025.19 การวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำของสิทธิรักษาพยาบาลในประเทศไทย https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2310 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสิทธิในการรักษาพยาบาลของข้าราชการและสิทธิในการรักษาพยาบาลของประชาชนทั่วไปในประเทศไทย โดยเฉพาะการวิเคราะห์ความเหลื่อมล้ำในสิทธิการรักษาพยาบาลที่เกิดจากความแตกต่างในระบบสาธารณสุข ซึ่งได้แก่ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ระบบประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีลักษณะการให้สิทธิประโยชน์และหลักเกณฑ์ในการเข้าถึงบริการที่แตกต่างกัน ระบบเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ที่ต่างกันและได้รับการจัดสรรงบประมาณในระดับที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านการบริการ สิทธิประโยชน์ และการเข้าถึงการรักษาพยาบาล ทั้งในแง่ของงบประมาณที่ได้รับ และประเภทของบริการที่ประชาชนแต่ละกลุ่มได้รับ ในบทความนี้จะพิจารณาขอบเขตการศึกษาในแง่ของการเปรียบเทียบการใช้สิทธิในแต่ละระบบและการวิเคราะห์ว่าความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นนั้นขัดต่อหลักความเสมอภาคภายใต้รัฐธรรมนูญหรือไม่ พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคและไม่เลือกปฏิบัติ</p> ศิวรุฒ ลายคราม เด่นคุณ ธรรมนิตย์ชยุต ณฏฐพล บัวเงิน พีระพัฒน์ ปลื้มใจ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 183 194 10.14456/jasrru.2025.20 การออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อชุมชน https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2434 <p>บทความนี้เป็นบทความวิชาการ เพื่อนำเสนอเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อชุมชน โดยการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของที่ระลึกจากผ้ากาบบัวเมืองอุบลราชธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ให้มีความสวยงาม ทั้งทางด้านการสร้างรูปทรง การสร้างสรรค์สีที่สวยงาม ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์จำนวน 1 รูปแบบ คือ กระเป๋าที่ระลึก ที่มีความแปลกใหม่ขึ้นมา เพื่อนำไปจำหน่ายเป็นทางเลือกช่วยเพิ่มมูลค่าให้ชุมชน โดยศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูล สร้างแบบร่างผลิตภัณฑ์ ออกแบบและปรับปรุง สร้าง Pattern สำหรับผลิตภัณฑ์ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ สร้างแบบประเมินความพึงพอใจต้นแบบผลิตภัณฑ์จำนวน 50 ชุด กลุ่มตัวอย่างกำหนดจาก นักท่องเที่ยว 16 คน ข้าราชการและพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา 12 คน ผู้ค้าขาย 12 คน และนักศึกษา 10 คน รวมกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 คน เป็นการเลือกแบบ Purposive sampling การทดสอบคุณภาพของผลิตภัณฑ์ครั้งนี้ทำให้ได้เครื่องมือที่ใช้คือ แบบกระเป๋าที่ระลึก เป็นผลิตภัณฑ์จากผ้ากาบบัวเมืองอุบลราชธานี ใช้แบบสอบถามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พบว่า แบบกระเป๋าที่ระลึก มีความคิดเห็นโดยภาพรวมอยู่ระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ย 4.10 เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อเรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก คือ แนวความคิดสร้างสรรค์การออกแบบผลิตภัณฑ์ ค่าเฉลี่ย 4.40 ความเหมาะสมในการเป็นของที่ระลึก ค่าเฉลี่ย 4.32 สีที่นำมาใช้มีความเหมาะสม มีค่าเฉลี่ย 4.26 สรุปได้ว่า ความคิดเห็นของนักท่องเที่ยว ข้าราชการและพนักงานในสถาบันอุดมศึกษา ผู้ค้าขาย และนักศึกษา เห็นว่าการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเป๋าที่ระลึกที่ได้ออกแบบขึ้น มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี จากนั้นนำความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดความรู้ให้กับชุมชนกลุ่มตัวอย่างที่มีศักยภาพด้านการตัดเย็บเสื้อผ้า มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการตัดเย็บพร้อม จัดการอบรมให้กลุ่มตัวอย่างเพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้สู่ชุมชน โดยดำเนินการให้ความรู้ในตัวผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบขึ้นมา เริ่มตั้งแต่แนวความคิดในการออกแบบ รูปแบบผลิตภัณฑ์ วัสดุที่นำมาใช้ วิธีการผลิต และวิธีการแก้ปัญหา พบว่ากลุ่มฝ้ายไทยได้ให้ความสนใจเป็นอย่างดี ทดลองทำการผลิตจนได้ผลิตภัณฑ์ขึ้นมา จนสามารถผลิตขึ้นในเชิงพาณิชย์ได้ โดยทางกลุ่มจะทำการพัฒนาให้เป็นสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มต่อไป</p> ยุทธศักดิ์ สัณฑมาศ Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-04-30 2025-04-30 3 2 195 206 10.14456/jasrru.2025.21