วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru <p>วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />Journal of Academic Surindra Rajabhat<br />ISSN 2822-0870 (Print)<br />ISSN 2822-0889 (Online)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ คือ</strong> <br />- ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์) <br />- ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน) <br />- ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) <br />- ฉบับที่ 4 (กรกฎาคม-สิงหาคม) <br />- ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม) <br />- ฉบับที่ 6 (พฤศจิกายน–ธันวาคม)</p> <p>ทั้งนี้ วารสารจะตีพิมพ์บทความ 12 - 15 บทความ ต่อฉบับ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้ ผลงานทางวิชาการทาง<br /></strong>- สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br />- การศึกษา<br />- การบริหารจัดการ<br />- การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน<br />- บทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่ท้องถิ่น สังคม ประเทศ</p> <p><strong>ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท</strong> ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ</p> <p>รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) ดังนี้<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 3,500 บาท/ บทความ<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท/ บทความ<br />โดยจะเรียกเก็บค่าตีพิมพ์บทความสำหรับบทความที่ส่งเข้าระบบ ในปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป<br /><br /><strong>คำชี้แจง</strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br />1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br />1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br />2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ<br />3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br />ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินผ่านระบบวารสาร โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p> ฝ่ายยุทธศาสตร์การยกรดับคุณภาพการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ th-TH วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ 2822-0870 แนวการสอนอ่านวิเคราะห์ด้วยเทคนิคเทคนิคโซฟสโทน https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2765 <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอเทคนิค SOAPSTone เพื่อวิเคราะห์เนื้อหาจากสื่อและงานวรรณกรรม เหมาะสำหรับการพัฒนาการคิดขั้นสูงของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 เริ่มจากการวิเคราะห์ ไตร่ตรอง และประเมินค่าข้อมูลจากสิ่งที่ได้รับจากการอ่านหรือฟังผ่านสื่อหลากหลายทั้งออนไลน์และสิ่งพิมพ์ เทคนิค SOAPSTone จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่เน้นให้ผู้เรียนตั้งคำถาม Who is the author?, When was it created? For whom was it created? Why was it created? What argument does the author make? What is the author’s attitude? และ Is the author’s argument believable? (Yes or No, Why or Why not?) สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ตามอนุกรมวิธานวัตถุประสงค์ทางการศึกษาของ Anderson &amp; Krathwohl ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้พัฒนาความฉลาดรู้การอ่านและทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21</p> พรรณทิพา จันทร์เพ็ง สง่า วงค์ไชย ธนชพร พุ่มภชาติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 173 186 10.65205/jasrru.2025.2765 การส่งเสริมและพัฒนาศิลปะการแสดงเพื่อเพิ่มศักยภาพชุมชน Soft Power บนฐาน อัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นบ้านสดีย์ ตำบลกุดหวาย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2414 <p>การศึกษาครั้งนี้มุ่งเน้นการพัฒนาศิลปะการแสดงในชุมชนบนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดสุรินทร์ เป็นการศึกษาบริบททุนวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์โดยใช้กิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อนำมาเป็นแนวทางการพัฒนาที่สามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเพิ่มพูนคุณค่าและรายได้ให้กับชุมชนได้ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาศิลปะการแสดงเพื่อเพิ่มศักยภาพชุมชน บนฐานอัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนกับหน่วยงานภาครัฐโดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มีการลงพื้นที่ทำการสัมภาษณ์เชิงลึก และประชุมกลุ่มย่อยกับผู้นำชุมชน ปราชญ์ ชาวบ้าน โรงเรียน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์นำมาออกแบบการแสดงโดยชุมชนมีส่วนร่วม จัดให้มีการแสดงและการประเมินความพึงพอใจ เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีประชากรและกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 70 คน ประกอบด้วย 1) ชุมชนบ้านสดีย์ จำนวน 30 คน 2) นักเรียนในพื้นที่อำเภอศีขรภูมิ จำนวน 20 คน 3) นักศึกษาสาขานาฏศิลป์และสาขาดนตรีศึกษา จำนวน 20 คนคนโดยใช้เครื่องมือการสัมภาษณ์เชิงลึก และวิเคราะห์ตรวจสอบข้อมูลแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า การจัดโครงการถูกออกแบบให้มี 3 ส่วน คือ การส่งเสริมและพัฒนาศิลปะการแสดง การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนหน่วยงานภาครัฐ เกิดการขยายฐานความรู้และการเรียนรู้สู่เยาวชน ที่เชื่อมโยงระหว่างวิถีชีวิตชุมชน ด้วยการสืบสานประเพณีพิธีกรรมปังเอ๊าะเปรี๊ยแค และการแสดงเรือมอัปสรสราญ ซึ่งช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในชุมชนได้ และนอกจากนี้การแสดงเรือมอัปสรสราญและการประกอบพิธีกรรมปังเอ๊าะเปรียะแคยังถูกนำไปเผยแพร่เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ให้ผู้ที่ได้รับชมการแสดง รับรู้ว่าในชุมชนมีของดีอะไร มีความเชื่อประเพณีอย่างไร นำมาสู่แรงชักจูงใจ ให้เดินทางเข้ามาเที่ยวในชุมชนเพิ่มขึ้น ทำให้โรงเรียนและเทศบาลในพื้นที่มีศักยภาพในการดำเนินงานและเกิดเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง</p> ยุวดี พลศิริ อัชราพร สุขทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 1 16 10.65205/jasrru.2025.2414 แนวทางการปรับปรุงและพัฒนาการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ในเชิงเศรษฐกิจชุมชนเพื่อสร้างรายได้ในระยะยาวของชุมชนหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาช่างปี่ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2422 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นจริงภายหลังการฝึกอบรมการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ และเพื่อสำรวจแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาช่างปี่ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสนทนากลุ่ม จากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก 3 กลุ่ม (จำนวนรวม 39 คน) ได้แก่ ผู้กำหนดนโยบายและนักวิชาการ, ผู้ปฏิบัติงานและผู้รับผลประโยชน์ และกลุ่มลูกค้า โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis) ผลการวิจัยพบว่า แม้ผู้เข้าร่วมจะได้รับทักษะจากการอบรม แต่ยังคงเผชิญกับ “ช่องว่างหลังการอบรม” (Post-Training Gap) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างรายได้จริง ช่องว่างนี้เกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ 1) การขาดความมั่นใจและความต่อเนื่องในการใช้งานเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ 2) ข้อจำกัดด้านทักษะการสร้างสรรค์เนื้อหาและการตลาดเชิงอัตลักษณ์ และ 3) การไม่มีระบบพี่เลี้ยงหรือกลไกการสนับสนุนที่ต่อเนื่องในพื้นที่ ข้อค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลในชุมชนให้เกิดความยั่งยืนนั้นไม่สามารถพึ่งพาการฝึกอบรมเพียงครั้งเดียวได้ แต่จำเป็นต้องสร้าง “ระบบนิเวศการสนับสนุนแบบผสมผสาน” (Hybrid Support Ecosystem) ที่บูรณาการทั้งการพัฒนาทักษะ การให้คำปรึกษาต่อเนื่อง และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ เพื่อลดช่องว่างหลังการอบรมและนำไปสู่การสร้างรายได้ในระยะยาวได้อย่างแท้จริง</p> สุพัตรา วะยะลุน ปฏิวัติ อาสาเสน วีระนันต์ วิบูลย์อรรถ ทรงศักดิ์ มีสิทธิ์ รัติยา ธานี วิทวัส สุขชีพ พิทักษ์ แสนกล้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 17 28 10.65205/jasrru.2025.2422 การเสริมศักยภาพการเป็นผู้สูงอายุอัจฉริยะเพื่อพัฒนาสู่การเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในพื้นที่ชนบทกึ่งเมือง จังหวัดอ่างทอง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2490 <p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ และเพื่อพัฒนาแนวทางการเสริมศักยภาพสู่การเป็นเมือที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในพื้นที่ชนบทกึ่งเมือง จังหวัดอ่างทอง การวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี อาศัยแบบสอบถามและการประชุมกลุ่มย่อย ในการวิจัยเชิงปริมาณเป็นการวิจัยเชิงสำรวจโดยเก็บข้อมูลจากผู้สูงอายุจำนวน 120 คน ในส่วนของการประชุมกลุ่มย่อยมีผู้ร่วมประชุมคือแกนนำผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่ และผู้บริหารท้องถิ่น จำนวน 100 คน โดยใช้เทคนิคการประชุมค้นหาอนาคต (Future Search Conference) ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่าระดับความเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( = 3.29, S.D. .529) โดยตัวชี้วัดด้านที่อยู่อาศัย ด้านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ด้านการให้ความเคารพและยอมรับจากคนในสังคม และด้านการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร มีระดับความเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนตัวชี้วัดด้านพื้นที่สาธารณะภายนอกอาคารและตัวอาคาร ด้านระบบขนส่งมวลชน ด้านการมีส่วนร่วมของพลเมืองและการจ้างงาน และการสนับสนุนของชุมชนและบริการด้านสุขภาพ มีระดับความเป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ในส่วนของผลจากการประชุมกลุ่มย่อยพบว่าหากเทศบาลตำบลวิเศษไชยชาญต้องการพัฒนาให้เป็นเมืองที่เป็นมิตรต่อผู้สูงอายุ (Aged Friendly City) อาจจะต้องให้ความสำคัญกับการสนับสนุนของชุมชนและบริการด้านสุขภาพ เนื่องจากเป็นประเด็นที่เร่งด่วนที่ผู้สูงอายุมีความต้องการมากที่สุด ลำดับถัดมาอาจจะต้องเริ่มต้นจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งจะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของพลเมืองและการจ้างงาน การให้ความเคารพและยอมรับจากคนในสังคม ในส่วนของด้านที่อยู่อาศัย ด้านพื้นที่สาธารณะภายนอกอาคารและตัวอาคาร และด้านระบบขนส่งมวลชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจจะต้องเริ่มพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องหรือองค์กรภาคประชาสังคม</p> พันธรัตน์ ศรีสุวรรณ อัครวินท์ ศาสนพิทักษ์ สุกัลยา คงประดิษฐ์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 29 40 10.65205/jasrru.2025.2490 กลยุทธ์การเรียนรู้ภาษาของนักศึกษาสาขาวิชาสื่อจีน: กรณีศึกษามหาวิทยาลัยการสื่อสารแห่งซานซี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2556 <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจกลยุทธ์การเรียนรู้ภาษา (LLS) ที่ใช้โดยนักศึกษาสาขาวิชาสื่อชาวจีน ณ มหาวิทยาลัยการสื่อสารแห่งซานซี และเพื่อระบุว่าการใช้กลยุทธ์เหล่านี้แตกต่างกันอย่างไรตามระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน การวิจัยนี้ใช้การออกแบบการวิจัยแบบผสมผสาน โดยรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามคลังกลยุทธ์การเรียนรู้ภาษา (SILL) ฉบับปรับปรุง (n=320) และข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึก (n=9) ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาใช้กลยุทธ์อภิปัญญา สังคม และการรู้คิดบ่อยที่สุด ข้อค้นพบที่สำคัญคือเส้นทางการพัฒนาที่ชัดเจนซึ่งเชื่อมโยงกับระดับความสามารถ กล่าวคือ นักศึกษาที่มีความสามารถต่ำอาศัยกลยุทธ์ความจำและการสนับสนุนจากเพื่อนมากกว่า นักศึกษาที่มีความสามารถระดับกลางเริ่มบูรณาการกลยุทธ์ที่หลากหลายขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในขณะที่นักศึกษาที่มีความสามารถสูงแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้กลยุทธ์อภิปัญญาในระดับสูงและการบูรณาการเครื่องมือดิจิทัลที่ปรับให้เข้ากับงานเฉพาะทางด้านสื่อ เช่น การเขียนบท การวิจัยนี้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเชิงปฏิบัติสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพการสอน LLS โดยให้ข้อเสนอแนะสำหรับการออกแบบหลักสูตรและการพัฒนาครู เพื่อเสริมสร้างความสามารถทางภาษาและความพร้อมในวิชาชีพของนักศึกษาสาขาสื่อในประเทศจีน</p> Xiaodong Tian Anchalee Chayanuvat ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 41 54 10.65205/jasrru.2025.2556 การวิจัยเชิงสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยกับพฤติกรรมกิจกรรมทางกายในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นโรงเรียนในเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2677 <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัย (Subjective Well-Being: SWB) และพฤติกรรมกิจกรรมทางกาย (Physical Activity: PA) ในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนในเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร โดยมุ่งวิเคราะห์ว่าระดับกิจกรรมทางกายที่นักเรียนปฏิบัติสัมพันธ์กับระดับความพึงพอใจในชีวิตและอารมณ์เชิงบวก–ลบอย่างไร กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนชาย 251 คน และนักเรียนหญิง 178 คน รวม 429 คน คัดเลือกโดยวิธีเจาะจง (Purposive Sampling) ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567</p> <p>การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถามสองชุด ได้แก่ มาตรวัด SWB จำนวน 20 ข้อ แปลและปรับจาก Satisfaction with Life Scale และ Positive and Negative Affect Schedule และมาตรวัด PA จำนวน 9 ข้อ พัฒนาจาก Physical Activity Questionnaire for Adolescents ทั้งสองแบบใช้มาตราส่วน Likert 5 ระดับ ก่อนใช้งานผ่านการประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และยืนยันโครงสร้างด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis) พบว่าค่าดัชนีอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ จากนั้นทดสอบความเที่ยงด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค SWB α = 0.85 และ PA α = 0.82 ซึ่งอยู่ในระดับดี สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) การวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation) และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้น (Regression Analysis) โดยมีการตรวจสอบสมมติฐานของโมเดล เช่น ความเป็นปกติ ความเป็นเส้นตรง ความเป็นอิสระของตัวแปรคงเหลือ และการตรวจสอบปัญหาความสัมพันธ์เชิงพหุคอลไลนีเอตี เพื่อให้ผลลัพธ์มีความน่าเชื่อถือ</p> <p>ผลการวิเคราะห์พบว่า นักเรียนมีค่าเฉลี่ย SWB = 3.75 (SD = 0.58) อยู่ในระดับปานกลางถึงสูง และค่าเฉลี่ย PA = 4.12 (SD = 0.71) อยู่ในระดับสูง พฤติกรรมกิจกรรมทางกายมีความสัมพันธ์เชิงบวกระดับปานกลางกับ SWB (r = 0.46, p = 0.001) สะท้อนว่าการมีกิจกรรมทางกายมากขึ้นสัมพันธ์กับความพึงพอใจในชีวิตและอารมณ์เชิงบวกที่สูงขึ้น</p> <p>ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การมีกิจกรรมทางกายอย่างสม่ำเสมอมีบทบาทสำคัญต่อการส่งเสริมความอยู่ดีมีสุขเชิงอัตวิสัยในกลุ่มนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนและผู้เกี่ยวข้องจึงควรพัฒนาและสนับสนุนโครงการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย เช่น การจัดชั่วโมงออกกำลังกายในตารางเรียน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเคลื่อนไหวระหว่างเรียน (Active Breaks) และการให้ความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการออกกำลังกายต่อสุขภาพกายและใจ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพจิตของนักเรียนได้อย่างยั่งยืน</p> ชลธิชา แก้วมี กรรณภรณ์ รุ่งแจ้ง โสภิดา ทองรอด ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 55 72 10.65205/jasrru.2025.2677 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ ROIET เพื่อเสริมสร้างสมรรถนะทางประวัติศาสตร์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2786 <p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถนะทางประวัติศาสตร์ของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด โดยมุ่งเสริมสร้าง 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ (1) ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมายและธรรมชาติของประวัติศาสตร์ (2) ทักษะการตั้งคำถามเชิงประวัติศาสตร์ และ (3) การตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เหตุผลและหลักฐานในการแสวงหาคำตอบ ผ่านรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ROIET ซึ่งแต่ละขั้นมีการออกแบบกิจกรรม เครื่องมือ และผลลัพธ์การเรียนรู้ ดังนี้ ขั้น R – Research &amp; Retrieve นักศึกษาฝึกสืบค้นและรวบรวมข้อมูลจากเอกสารชั้นต้นและชั้นรอง เช่น พงศาวดาร บันทึกเหตุการณ์ ข่าว หรือภาพถ่ายประวัติศาสตร์ เพื่อสร้างความเข้าใจเบื้องต้น ขั้น O – Organize &amp; Observe เน้นการจัดระเบียบและวิเคราะห์หลักฐาน เช่น การทำตารางเปรียบเทียบ ปัจจัยเหตุการณ์–ผลจากเหตุการณ์-ผู้เกี่ยวข้อง–หลักฐาน–มุมมอง และการสังเกตข้อจำกัดของแต่ละแหล่งข้อมูล ขั้น I – Interpret &amp; Interact เปิดโอกาสให้นักศึกษาตีความและอภิปราย เช่น การวิเคราะห์ว่าผู้บันทึกเหตุการณ์อาจมีอคติหรือเจตนารมณ์ใด และการเปรียบเทียบการตีความเหตุการณ์เดียวกันจากหลายมุมมอง ขั้น E – Express &amp; Exhibit มุ่งให้นักศึกษาผลิตผลงานนำเสนอ เช่น อินโฟกราฟิกเส้นเวลาเหตุการณ์สำคัญ และขั้น T – Transfer &amp; Transform ให้นักศึกษาวางรูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ และสะท้อนคิดความเปลี่ยนแปลงของตนหลังการเรียน โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 จำนวน 30 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567 ใช้วิธีวิจัยเชิงพัฒนา 3 ขั้นตอน ได้แก่ การออกแบบ การพัฒนา และการทดลองใช้ ROIET ผลการวิจัยพบว่า ความรู้ความเข้าใจ ทักษะการตั้งคำถาม และทัศนคติในการคิดเชิงวิพากษ์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) ข้อมูลจากการสังเกตและสัมภาษณ์ยังสะท้อนว่านักศึกษามีส่วนร่วมในอภิปราย คิดเชิงหลักฐาน และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่บริบทใหม่ได้อย่างสร้างสรรค์ ดังนั้นรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ ROIET จึงไม่เพียงเป็นนวัตกรรมการเรียนรู้ที่รายงานผลเชิงปริมาณ แต่เป็น โมเดลที่มีเอกลักษณ์ในเชิงกิจกรรม ซึ่งบูรณาการการค้นคว้า การวิเคราะห์ การตีความ การสื่อสาร และการถ่ายโอนบทเรียนทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ ส่งเสริมสมรรถนะทางประวัติศาสตร์และทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> นรินทรา มิ่งโอโล ปริญ ภัทรปัญญากูร ประสาร ศรีพงษ์เพลิด ทิพย์สุดา ปรีดาพันธุ์ คชษิณ สุวิชา วันชาติ ชาญวิจิตร ขวัญชนก อำภา อัธยา เมิดไธสง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 73 88 10.65205/jasrru.2025.2786 การพัฒนาระบบทะเบียนการเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2893 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบทะเบียนการเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 2) ประเมินประสิทธิภาพการทำงานของระบบทะเบียนการเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของระบบทะเบียน การเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ จำนวน 5 คน และผู้ใช้งานทั่วไป จำนวน 40 คน วิธีดำเนินการวิจัยเป็นการพัฒนาสารสนเทศตามวงจรการพัฒนาระบบ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การวิเคราะห์ความต้องการ 2) การออกแบบ 3) การพัฒนาระบบ 4) การทดสอบระบบ และ 5) การติดตั้งระบบใช้งาน เครื่องมือที่ใช้ในวิจัย ได้แก่ แผนผังก้างปลา อีอาร์ ไดอะแกรม ดาต้าโฟลว์ไดอะแกรม ระบบสารสนเทศพัฒนาด้วย ภาษาพีเอชพี ฐานข้อมูลมายเอสคิวแอล และแบบประเมินประสิทธิภาพระบบ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1.ระบบทะเบียนการเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 มีฟังก์ชันการทำงานทั้งหมด 6 ส่วน ได้แก่ 1) ฟังก์ชันบันทึกข้อมูลพื้นฐาน 2) ฟังก์ชันตรวจสิทธิ์การใช้งาน 3) ฟังก์ชันการลงทะเบียนเรียน 4) ฟังก์ชันบันทึกผลการเรียน 5) ฟังก์ชัน การเลื่อนชั้นเรียน 6) ฟังก์ชันรายงานสารสนเทศ 2.ประสิทธิภาพของระบบทะเบียนการเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 มีประสิทธิภาพโดยภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.80, S.D. = 0.41) 3. ค่าเฉลี่ยของความพึงพอใจจากผู้ใช้งาน ระบบทะเบียนการเรียน โรงเรียนบ้านวังพระวังไฮ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.76, S.D. =0.02)</p> รุ่งตะวัน ศิลารักษ์ อุดมเดช ทาระหอม สุวัฒน์ บรรลือ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 89 102 10.65205/jasrru.2025.2893 การพัฒนาตัวบ่งชี้กรอบความคิดการเสริมพลังของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2393 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบและตัวบ่งชี้ของกรอบความคิดการเสริมพลังของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 2) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของ โมเดลตัวบ่งชี้กรอบความคิดการเสริมพลังของผู้บริหารโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 3) เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนากรอบความคิดการเสริมพลังของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร และครูโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์ เขต 2 จำนวน 240 คน ใช้การสุ่มแบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.956 และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างเพื่อเสนอแนวทางการกรอบความคิดการเสริมพลัง การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติอ้างอิงโดยโปรแกรมสำเร็จรูป สำหรับการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1.ผลตรวจสอบความสอดคล้องกลมกลืนของโมเดลองค์ประกอบกรอบความคิดการเสริมพลังของผู้บริหารโรงเรียนโรงเรียนขนาดเล็ก กับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยดัชนีกลมกลืนของโมเดลกรอบความคิดเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด เมื่อพิจารณาค่าไคว์สแคว์ (c<sup>2</sup>) เท่ากับ 10.377 ค่าองศาอิสระ(df) เท่ากับ 9 ค่านัยสำคัญทางสถิติ(P-Value) เท่ากับ 0.3208 แสดงว่าค่าไคว์สแคว์ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ค่าความคลาดเคลื่อนการประมาณพารามิเตอร์(RMSEA) เท่ากับ 0.025 ค่าดัชนีรากที่สองกำลังสองเฉลี่ย (SRMR) เท่ากับ 0.020 ค่าดัชนีความสอดคล้องเปรียบเทียบ (CFI) เท่ากับ 0.999 ค่าดัชนีตรวจสอบความกลมกลืน (TLI) เท่ากับ 0.996 แสดงว่าโมเดลการวิจัยมีความสอดคล้องกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ และมีแนวทางการพัฒนากรอบความคิดการเสริมพลังของผู้บริหารโรงเรียนขนาดเล็ก 4 ด้าน 7 แนวทาง</p> ภาณุวัชร สุวรรณแสง ดาวรุวรรณ ถวิลการ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 103 114 10.65205/jasrru.2025.2393 การพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์โดยใช้วิธีสอนแบบการลงมือปฏิบัติจริง กรณีศึกษา ชุมชนหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาช่างปี่ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2415 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา (R&amp;D) มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนสู่แพลตฟอร์มออนไลน์โดยใช้วิธีสอนแบบการลงมือปฏิบัติจริง และ 2) เพื่อประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ชุมชนหัตถกรรมเครื่องปั้นดินเผาช่างปี่ (ครู นักเรียน ผู้นำชุมชน ครัวเรือนยากจน และผู้สนใจ) จำนวน 70 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ (ชุดกิจกรรม 6 โมดูล) <br />2) แบบประเมินความสอดคล้อง (IOC) สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน และ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ <br />การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) ผลการวิจัยพบว่า 1) ได้นวัตกรรมการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริง 6 โมดูล ที่มุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน 3 ด้าน ได้แก่ การสร้างตัวตนบนตลาดออนไลน์, การยกระดับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ (การถ่ายภาพ) และการใช้เทคโนโลยี AI (ChatGPT) เพื่อการตลาด 2) ผลการประเมินประสิทธิภาพ พบว่า (ก) นวัตกรรมมีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (IOC) มีค่าเฉลี่ย 0.90 และ (ข) มีค่าประสิทธิภาพของกระบวนการและผลลัพธ์ (E1/E2) เท่ากับ 75.64/86.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 ที่ตั้งไว้</p> <p> องค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยนี้ คือ นวัตกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวสามารถช่วยให้ชุมชนพัฒนาทักษะดิจิทัลที่จำเป็น และเพิ่มศักยภาพในการสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม</p> สุพัตรา วะยะลุน ปฏิวัติ อาสาเสน วีระนันต์ วิบูลย์อรรถ ทรงศักดิ์ มีสิทธิ์ รัติยา ธานี พิทักษ์ แสนกล้า ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 115 128 10.65205/jasrru.2025.2415 ผลของโปรแกรมการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ต่อทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐาน ของนักเรียนระดับประถมศึกษา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2678 <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดียววัดก่อน–หลัง มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการเคลื่อนไหวประกอบอุปกรณ์ต่อทักษะการเคลื่อนไหวขั้นพื้นฐานของนักเรียนระดับประถมศึกษา (2) เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างของระดับทักษะก่อนและหลังการเข้าร่วมโปรแกรม และ (3) เพื่อประเมินผลและหาแนวทางปรับปรุงกิจกรรมให้เหมาะสมกับพัฒนาการของนักเรียน</p> <p>กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 60 คน จากโรงเรียนประถมศึกษา ในกรุงเทพมหานคร ที่คัดเลือกด้วยการสุ่มแบบง่าย โดยใช้เกณฑ์คัดเลือกว่า นักเรียนต้องมีสุขภาพแข็งแรงและสามารถเข้าร่วมโปรแกรมได้ครบตามระยะเวลา 8 สัปดาห์</p> <p>เครื่องมือที่ใช้คือแบบทดสอบเชิงปฏิบัติด้านทักษะการเคลื่อนไหวพื้นฐาน 4 ด้าน ได้แก่ การทรงตัว การเคลื่อนไหวเคลื่อนที่ การประสานงานของร่างกาย และการส่ง–รับวัตถุ ซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่าน มีค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหา (CVI) เท่ากับ 0.92 แสดงถึง ความเหมาะสมในระดับสูง การเก็บข้อมูลดำเนินการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง พร้อมการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนตลอดการเข้าร่วมกิจกรรม</p> <p>การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ เชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างสัมพันธ์กัน ภายใต้เงื่อนไขการแจกแจงแบบปกติ หากข้อมูลเบี่ยงเบนจากปกติจะใช้การทดสอบแบบแมนน์–วิทนีย์เป็นทางเลือก นอกจากนี้ยังคำนวณขนาดของผลด้วยสถิติของโคเฮน</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คะแนนเฉลี่ยของทักษะทั้งสี่ด้านและคะแนนรวมหลังการทดลองสูงกว่าก่อน การทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p &lt; .001) โดยมีขนาดของผลในระดับสูงถึงสูงมาก (Cohen’s d = 1.44–3.25) ผลการสังเกตพฤติกรรมพบว่า มากกว่าร้อยละ 85 ของนักเรียนมีแรงจูงใจและการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ครูผู้สังเกตการณ์ประเมินว่ากิจกรรมมีความเหมาะสมกับพัฒนาการของผู้เรียน แต่เสนอให้เพิ่มเวลาในบางกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น</p> ชลธิชา แก้วมี กรรณภรณ์ รุ่งแจ้ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 129 144 10.65205/jasrru.2025.2678 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความฉลาดทางดิจิทัลของนักศึกษา วิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2798 <p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับความสำคัญของความฉลาดทางดิจิทัลของนักศึกษา วิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม 2) เพื่อศึกษาระดับของปัจจัยที่มีต่อความฉลาดทางดิจิทัลของนักศึกษา วิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความฉลาดทางดิจิทัลของนักศึกษา วิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม จากการรวบรวมแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาวิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม ที่ปีการศึกษา 2567 จำนวน 300 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา การวิเคราะห์สัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค และการวิเคราะห์สมการถดถอยเชิงพหุคูณ</p> <p> ผลการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า 1) นักศึกษาวิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม มีความฉลาดทางดิจิทัลโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อยสามลำดับแรก ได้แก่ ด้านการรักษาความปลอดภัยของตนเอง ด้านการจัดการบริหารข้อมูลที่ผู้ใช้งานมีการทิ้งไว้บนโลกออนไลน์ และด้านการรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง 2) ระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อความฉลาดทางดิจิทัล โดยรวมอยู่ในระดับมาก เรียงลำดับค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ปัจจัยด้านบทบาทของผู้ปกครองที่มีต่อความฉลาดทางดิจิทัล ปัจจัยด้านแรงจูงใจในการใช้งานโลกไซเบอร์ ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางการเรียน และปัจจัยด้านการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล 3) อิทธิพลของสัมประสิทธิ์ การถดถอยกับความฉลาดทางดิจิทัลของนักศึกษา วิทยาลัยธาตุพนม มหาวิทยาลัยนครพนม ประกอบด้วย บทบาทของผู้ปกครอง สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ และแรงจูงใจในการใช้เทคโนโลยีไซเบอร์ มีความสัมพันธ์เชิงบวกและมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับ .01 กับระดับความฉลาดทางดิจิทัลของนักศึกษา ในขณะที่การจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมความฉลาดทางดิจิทัล (B = 0.068, β = 0.064, t = 1.264, Sig = .210) มีอิทธิพลในเชิงบวกเพียงเล็กน้อยต่อความฉลาดทางดิจิทัล และไม่แสดงนัยสำคัญทางสถิติ</p> ศศิธร แสงจำรัสชัยกุล สุจิตรา แสงจันดา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 145 158 10.65205/jasrru.2025.2798 การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2790 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุก 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุก และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุก กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย จำนวน 24 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าที ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1.รูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 ขั้นกระตุ้นความสนใจ (Engage) เป็นขั้นเตรียมความพร้อมของผู้เรียน โดยครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มแบบคละความสามารถ และครูสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ สร้างสถานการณ์ให้นักเรียนทบทวนความรู้เดิมที่นักเรียนจำเป็นต้องมีก่อนที่จะเรียนเนื้อหา ขั้นที่ 2 ขั้นวางแผนสำรวจเป้าหมาย (Explore) เป็นขั้นการนำเสนอปัญหาหรือสถานการณ์ที่น่าสนใจสัมพันธ์กับประสบการณ์ของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้ทำความเข้าใจกับปัญหา ได้ร่วมกันวางแผนการแก้ปัญหาว่าสิ่งที่โจทย์กำหนดให้มีอะไรบ้าง และต้องการทราบอะไร มีวิธีการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไร ขั้นที่ 3 ขั้นลงมือปฏิบัติ (Experience) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนำข้อมูลจากการวิเคราะห์ข้อมูลของปัญหา ค้นหาคำตอบร่วมกันผ่านกระบวนการกลุ่ม โดยใช้อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ขั้นตอนนี้ครูควรให้เวลาผู้เรียนในการค้นคว้าหาคำตอบด้วยตนเอง ขั้นที่ 4 ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Exchange) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนำเสนอสื่อสารวิธีคิดของตนเองเกี่ยวกับคำตอบที่ได้หรือวิธีการแก้ปัญหาจากสถานการณ์ที่กำหนดให้ เปรียบเทียบคำตอบพร้อมรับฟังมุมมองของเพื่อนในชั้นเรียน ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปและสะท้อนผล (Explain) เป็นขั้นตอนที่นักเรียนสรุปองค์ความรู้ วิธีการหรือขั้นตอนการดำเนินการ สะท้อนแนวคิดและคำตอบที่ได้จากการแก้ปัญหา ตรวจสอบคำตอบที่ได้ว่ามีความสมเหตุสมผล ขั้นที่ 6 ขั้นต่อยอดและประเมิน (Extend) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนำหลักการ กฎเกณฑ์ และวิธีการแก้ปัญหาที่ผู้เรียนค้นพบไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์อื่นๆ เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักเรียนตามความสามารถและความถนัด 2. ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์เชิงรุกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37</p> นายทนงเกียรติ พลไชยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2025-10-31 2025-10-31 3 5 159 172 10.65205/jasrru.2025.2790