วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru <p><strong>วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ</strong><br /><strong>Journal of Academic Surindra Rajabhat</strong><br />ISSN 2822-0870 (Print)<br />ISSN 2822-0889 (Online)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ</strong> คือ ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์) ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน) ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) ฉบับที่ 4 (กรกฎาคม-สิงหาคม) ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม) และฉบับที่ 6 (พฤศจิกายน–ธันวาคม)</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร</strong> ดังนี้ ผลงานทางวิชาการทาง <br />- สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br />- การศึกษา <br />- การบริหารจัดการ<br />- การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน<br />- บทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่ท้องถิ่น สังคม ประเทศ</p> <p><strong>ประเภทของบทควา</strong>ม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ<br />รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ</strong><br />บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p>ทั้งนี้ วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ <strong>ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ </strong></p> ฝ่ายยุทธศาสตร์การยกรดับคุณภาพการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ th-TH วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ 2822-0870 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การบวก และการลบเศษส่วน โดยการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1016 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การบวก และการลบเศษส่วน ก่อนและหลังใช้การจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก เรื่อง การบวก และการลบเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 8 คน ซึ่งได้มาจากการใช้วิธีการเลือกสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก 2) แบบทดสอบ เรื่อง การบวก และการลบเศษส่วน โดยหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก โดยหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การบวก และการลบเศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลังการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก อย่างมีนัยสําคัญที่ .05 2) ความพึงพอใจความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือเทคนิค TAI ประกอบการใช้เกมบิงโก อยู่ในระดับมากที่สุด</p> ศศิพิมพ์ รัตราช สมใจ ภูครองทุ่ง สุภาภรณ์ โรยรส Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 1 12 10.14456/jasrru.2024.8 การตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามของกลุ่มผู้บริโภค Metrosexual ในจังหวัดชลบุรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1029 <p> การวิจัยเชิงสำรวจมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ที่ส่งผลการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงาม 2) เพื่อศึกษาปัจจัยรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งผลการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงาม 3) เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการ (7P’s) ที่ส่งผลการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงาม และ 4) เพื่อศึกษาปัจจัยผู้มีอิทธิพลทางสื่อออนไลน์ที่ส่งผลการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงาม การใช้บริการคลินิกเสริมความงามของกลุ่มผู้บริโภค Metrosexual ในจังหวัดชลบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภค Metrosexual ในจังหวัดชลบุรีที่ใช้บริการคลินิกเสริมความงาม จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์สถิติใช้แบบสอบถามสุ่มกลุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้ความน่าจะเป็น และใช้วิธีการสุ่มแบบสะดวก ในการเก็บข้อมูล ใช้สถิติเชิงพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติเชิงอนุมาน คือ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Person’s Correlation) ผลการวิจัยพบว่า 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ 35-44 ปี จำนวน 120 คน 2) ปัจจัยรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้บริการ พบว่า ด้านที่มีระดับเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านกิจกรรม รองลงมาคือ ด้านความสนใจ ด้านความคิดเห็น ตามลำดับ</p> <p> จากการศึกษาปัจจัยส่วนประสมการตลาดบริการ (7P’s) พบว่า ด้านที่มีระดับเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านพนักงาน ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา รองลงมา คือ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านกระบวนการ ด้านลักษณะทางกายภาพ จากการศึกษาปัจจัยผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ พบว่า ด้านที่มีระดับเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านความน่าเชื่อถือ รองลงมา คือ ด้านดึงดูดใจ 3) จากการศึกษาความสัมพันธ์ของการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามของกลุ่มผู้บริโภค Metrosexual ในจังหวัดชลบุรี พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล อาทิ อายุระดับการศึกษา สถานภาพสมรส รายได้ต่อเดือน อาชีพ ปัจจัยรูปแบบการดำเนินชีวิต อาทิ ด้านกิจกรรม ด้านความสนใจ ด้านความคิดเห็นในการตัดสินใจใช้บริการ ปัจจัยส่วนประสบการตลาดบริการ (7P’s) อาทิ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด พนักงาน กระบวนการ ลักษณะทางกายภาพในการตัดสินใจใช้บริการ และ 4) ปัจจัยผู้มีอิทธิพลทางสื่อสังคมออนไลน์ อาทิ ความดึงดูดใจ ความน่าเชื่อถือในการตัดสินใจใช้บริการ มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจใช้บริการคลินิกเสริมความงามของกลุ่มผู้บริโภค Metrosexual ในจังหวัดชลบุรี คือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ตามลำดับ</p> ปาลิดา เขียวชอุ่ม พิชญา รุ่งโรจน์ รพีภัทร ปราโมช สิงหราช อุปพันธ์ ทัชชกร สัมมะสุต Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 13 28 10.14456/jasrru.2024.9 การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1022 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับเทคนิค TAI เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลัง การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนคำชะอีพิทยาคม จำนวน 19 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่ายโดยใช้ห้องเรียนในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และสถิติทดสอบค่าที</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับเทคนิค TAI นักเรียนมีคะแนนคิดเป็นร้อยละ 89.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่กำหนดไว้ 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ความคล้าย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) ร่วมกับการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TAI หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> ชิษณุพงศ์ สุวรรณไตรย์ สุวรรณวัฒน์ เทียนยุทธกุล Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 29 44 10.14456/jasrru.2024.10 องค์ประกอบของการศึกษาภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/814 <p> ภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะ (Intellectual leadership) เป็นบทบาทของผู้นำการตัดสินใจและการสร้างทุนทางสังคมและทางปัญญาเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ท้าทายที่รวมความคิดค่านิยมและความรู้สำหรับการพัฒนาองค์กร การศึกษาภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะเป็นคำกว้าง ๆ ที่ครอบคลุมแนวทางต่าง ๆ ในการพัฒนาบุคคลให้เป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพ โดยมีทักษะในการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในหัวข้อต่าง ๆ ที่หลากหลาย บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการศึกษาภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะทั้งนี้ข้อค้นพบจะนำไปสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดการการวิจัยตลอดจนการพัฒนาภาวะผู้นำของผู้บริหารองค์กร การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์แก่นสาระ ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะสำคัญของภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะ ได้แก่ (1) ความรู้และความเชี่ยวชาญ (2) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (3) การสื่อสารและอิทธิพล และ (4) นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ องค์ประกอบของภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะ ได้แก่ (1) การคิดที่มีวิสัยทัศน์ (2) การเรียนรู้ตลอดชีวิต (3) การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (4) นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ (5) ความฉลาดทางอารมณ์ นอกจากนั้น ความท้าทายที่ภาวะผู้นำเชิงอัจฉริยะอาจเผชิญ ได้แก่ (1) การปรับตัวทางเทคโนโลยี (2) ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของข้อมูล (3) ข้อพิจารณาด้านจริยธรรม (4) การเปลี่ยนผ่านด้านแรงงาน (5) การต่อต้านทางวัฒนธรรม และ (6) ความไว้วางใจและการยอมรับ</p> สัญญา เคณาภูมิ วิเชียร พรมแก้ว Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 45 66 10.14456/jasrru.2024.11 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิค TGT https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1023 <p> การจัดการเรียนรู้ที่เน้นให้นักเรียนได้จดจำในเนื้อหา ทำให้นักเรียนไม่มีความสนใจในการเรียนส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ไม่เป็นไปตามเกณ์ที่โรงเรียนกำหนด เนื่องจากนักเรียนไม่มีส่วนร่วมและขาดแรงกระตุ้นในการเรียน วิธีการหนึ่งที่รู้จักกันแพร่หลายที่ช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วม คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT ดังนั้น การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้เทคนิค TGT 2) พัฒนาประสิทธิภาพแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ให้เป็นไปตามเกณฑ์ 70/70 3) ศึกษาเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน โดยใช้เทคนิค TGT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเหล่ากลางวิทยาคม อำเภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสินธุ์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 25 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย (simple random sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ 2) แผนการจัดการเรียนรู้ 3) แบบวัดเจตคติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ การทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ (t-test)</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เทคนิค TGT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ประสิทธิภาพแผนจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค TGT เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 83.53/71.60 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 3) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การบวก ลบ คูณ และหาร เศษส่วน โดยใช้เทคนิค TGT สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 มีเจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในระดับมาก ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเจตคติ เท่ากับ 4.40</p> นัทธพงศ์ สิงหาราช วรรณพล พิมพะสาลี Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 67 82 10.14456/jasrru.2024.12 รูปแบบการจัดบริการสาธารณะภายใต้อิทธิพลของตัวแสดงในนโยบายสาธารณะ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/845 <p> การจัดบริการสาธารณะเป็นกระบวนการที่รวมถึงการวางแผน การนำไปใช้ และการควบคุมบริการสาธารณะทั้งหมดที่หน่วยงานของรัฐหรือรัฐบาลมอบให้กับพลเมือง รวมถึงการจัดทรัพยากรที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ กระบวนการนี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างความมั่นใจว่ามีการให้บริการสาธารณะอย่างเหมาะสมตามความต้องการของพลเมืองและนโยบายของรัฐบาล อย่างไรตามประสิทธิภาพการจัดบริการสาธารณะมักจะขึ้นอยู่กับตัวแสดงในนโยบายสาธารณะ ดังนั้น บทความนี้มีวัตถุประสงค์การนำเสนอรูปแบบการจัดบริการสาธารณะภายใต้อิทธิพลของตัวแสดงในนโยบายสาธารณะ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการจัดบริการสาธารณะ และใช้วิธีการวิเคราะห์เนื้อหาแล้วนำเสนอเชิงพรรณนาความ ผลการศึกษา พบว่า รูปแบบการจัดบริการสาธารณะภายใต้อิทธิพลของตัวแสดงในนโยบายสาธารณะ ประกอบด้วย (1) รูปแบบรัฐกลางเป็นผู้ดำเนินการ (2) รูปแบบรัฐบาลส่วนภูมิภาคเป็นผู้ดำเนินการ (3) รูปแบบรัฐบาลท้องถิ่น (4) รูปแบบเอกชนดำเนินการแทน (5) รูปแบบความร่วมมือระหว่างรัฐกับภาคเอกชน (6) รูปแบบความหุ้นส่วนระหว่างรัฐกับประชาชน และ (7) รูปแบบการคืนอำนาจให้กับประชาชนหรือการจัดการตนเอง</p> อธิมาตร เพิ่มพูน สัญญา เคณาภูมิ วันชัย สุขตาม Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 83 102 10.14456/jasrru.2024.13 คุณภาพการให้บริการแผนกงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสังขะ ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/918 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความคิดเห็นต่อคุณภาพการให้บริการแผนกงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสังขะ ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ 2) เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของคุณภาพการให้บริการของแผนกงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสังขะ จำแนกตาม เพศ อายุ และระดับการศึกษา 3) เพื่อศึกษาปัญหาและอุปสรรคของการให้บริการแผนกงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสังขะ ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ มีวิธีการสุ่มแบบความน่าจะเป็น จำนวน 400 ราย โดยเครื่องมือมีค่าเชื่อมั่นท่ากับ 0.887 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่และร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (x ̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และส่วนการทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ t-test และ F-test</p> <p> ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เพศหญิง จำนวน 298 มีอายุ 41-50 ปี จำนวน 207 ราย มีการศึกษาระดับประถมศึกษา จำนวน 112 ราย ระดับคุณภาพการให้บริการแผนกงานผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลสังขะ ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ในภาพรวมทั้ง 3 ด้าน อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.49 โดยด้านเจ้าหน้าที่อยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.64 ด้านการบริการอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยท่ากับ 4.51 และด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอาคารสถานที่ อยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 ตามลำดับ การทดสอบสมมติฐาน กลุ่มตัวอย่างที่มี เพศ อายุ และ ระดับการศึกษา ต่างกัน มีระดับคุณภาพการให้บริการ ด้านเจ้าหน้าที่ ด้านการบริการ และ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอาคารสถานที่โดยรวมไม่ต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปัญหาและอุปสรรคในการใช้บริการของแผนกงานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลสังขะ ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ พบว่า 1) จุดจอดรถไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่มาใช้บริการ 2) พื้นที่รับบริการไม่มีความสะอาด และ 3) จุดพักผ่อนให้กับญาติผู้มารับบริการไม่เพียงพอ ตามลำดับ</p> อทิตยา ภูทอง นภาพรรณ พัฒนฉัตรชัย Copyright (c) 2024 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 2024-04-08 2024-04-08 2 2 103 120 10.14456/jasrru.2024.14