https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/issue/feed
วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
2025-06-17T09:41:04+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ ทรัพย์สิน
jasrru@srru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />Journal of Academic Surindra Rajabhat<br />ISSN 2822-0870 (Print)<br />ISSN 2822-0889 (Online)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ คือ</strong> <br />- ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์) <br />- ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน) <br />- ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) <br />- ฉบับที่ 4 (กรกฎาคม-สิงหาคม) <br />- ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม) <br />- ฉบับที่ 6 (พฤศจิกายน–ธันวาคม)</p> <p>ทั้งนี้ วารสารจะตีพิมพ์บทความ 12 - 15 บทความ ต่อฉบับ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้ ผลงานทางวิชาการทาง<br /></strong>- สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br />- การศึกษา<br />- การบริหารจัดการ<br />- การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน<br />- บทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่ท้องถิ่น สังคม ประเทศ</p> <p><strong>ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท</strong> ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ</p> <p>รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) ดังนี้<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 3,500 บาท/ บทความ<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท/ บทความ<br />โดยจะเรียกเก็บค่าตีพิมพ์บทความสำหรับบทความที่ส่งเข้าระบบ ในปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป<br /><br /><strong>คำชี้แจง</strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br />1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br />1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br />2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ<br />3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br />ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินผ่านระบบวารสาร โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p>
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2145
การพัฒนาสื่อดิจิทัล เรื่องภาษาท่าของโขน เพื่อส่งเสริมการฝึกทักษะการแสดงโขน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2025-04-10T09:29:08+07:00
วีรกิจ ยอดนาม
pipweerakit21@gmail.com
กฤษฏา ตาดเสน
pipweerakit21@hotmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนาสื่อดิจิทัลเรื่องภาษาท่าของโขน เพื่อส่งเสริมการฝึกทักษะการแสดงโขน 2) ศึกษาผลการใช้สื่อดิจิทัล เรื่องภาษาท่าของโขน เพื่อส่งเสริมการฝึกทักษะการแสดงโขน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้หาประสิทธิภาพของสื่อดิจิทัลได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เป็นนักเรียนชายที่เรียนวิชานาฏศิลป์และโขน จำนวน 23 คน 2) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาผลการใช้สื่อดิจิทัล เรื่องภาษาท่าของโขน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เป็นนักเรียนชายที่เรียนวิชานาฏศิลป์และโขน จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ สื่อดิจิทัลเรื่องภาษาท่าโขน แบบประเมินคุณภาพสื่อดิจิทัล แผนการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบประเมินทักษะภาษาท่าของโขน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ การหาประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที (t-test Dependent Sample)</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพของสื่อดิจิทัลเรื่องภาษาท่าของโขน มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 4.49, S.D. = 0.65) มีประสิทธิภาพ 82.00/88.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80 ส่วนผลการใช้สื่อดิจิทัล เรื่องภาษาท่าของโขน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการเรียนผ่านสื่อดิจิทัล เรื่องภาษาท่าของโขน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนกลุ่มนี้มีทักษะการแสดงโขนโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก (x̄ = 2.43, S.D.=0.60)</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2401
การยกระดับและพัฒนาผลงานทางวิชาการเพื่อขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
2025-04-17T16:39:39+07:00
อธิมาตร เพิ่มพูน
athimat.per2536@gmail.com
นิชกานต์ ทันวัน
athimat.per2536@gmail.com
เสาวณีย์ ดีมั่น
athimat.per2536@gmail.com
<p>การยกระดับและพัฒนาผลงานทางวิชาการเป็นสิ่งสำคัญในการขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการ เพราะช่วยแสดงถึงความเชี่ยวชาญและความสามารถในการสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ ๆ ซึ่งเป็นเกณฑ์หลักในการประเมินคุณสมบัติสำหรับการเลื่อนตำแหน่งทางวิชาการอย่างเป็นทางการ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะในการผลิตผลงานทางวิชาการเพื่อขอกำหนดตำแหน่งทางวิชาการที่สูงขึ้น การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสม (Mixed Methods Research) โดยผสานวิธีเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ การวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุง กลุ่มเป้าหมาย คือ บุคลากรสายวิชาการ ใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลหลากหลาย เช่น แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ และการสนทนากลุ่ม เพื่อตรวจสอบผลกระทบและข้อควรปรับปรุงจากการดำเนินงาน ผลการวิจัย พบว่า 1) การเข้าร่วมของกลุ่มเป้าหมาย พบว่า มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 35 คน ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 100% 2) การมีส่วนร่วมจากหน่วยงานภาคี ซึ่งช่วยให้โครงการดำเนินไปอย่างมีทิศทาง 3) ผลการดำเนินงานในแต่ละระยะ พบว่า มีการอบรมและให้คำปรึกษาเชิงลึกเพื่อพัฒนาผลงานทางวิชาการ และ 4) การปรับปรุง โดยการสรุปผลและประเมินประสิทธิภาพเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผลงานทางวิชาการในอนาคต ผลการดำเนินงานยังสามารถพัฒนาผลลัพธ์ตามตัวชี้วัดหลักของยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัย และสร้างนวัตกรรมทั้งในด้านการพัฒนาผลงานทางวิชาการและระบบการบริหารจัดการผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการพัฒนาผลงานทางวิชาการและการยกระดับตำแหน่งทางวิชาการผ่านการร่วมมือจากหลายภาคส่วน พร้อมทั้งการสร้างนวัตกรรมที่สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2407
ขนมนางเล็ด: กระบวนการผลิตและแนวทางส่งเสริมอาชีพในชุมชน กรณีศึกษาชุมชนบ้าน สก็วน จังหวัดสุรินทร์
2025-04-10T12:31:23+07:00
ชัยนะรินทร์ ทับมะเริง
chainarin42@gmail.com
วิชชุดา ยินดี
chainarin42@gmail.com
กนกกาญจน์ รีบเร่งรัมย์
chainarin42@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาวิธีการทำขนมนางเล็ดในชุมชนบ้านสก็วน และ (2) ศึกษาแนวทางการส่งเสริมอาชีพในการทำขนมนางเล็ดในชุมชน โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้จำนวน 40 คน โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 17 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเจาะจง เก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม โดยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลเป็นกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายขนมนางเล็ดในพื้นที่อำเภอเมืองสุรินทร์ รวมทั้งศึกษาข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งตรวจสอบข้อมูลด้วยวิธี Triangulation และนำมาวิเคราะห์แบบพรรณนา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูลโดนการวิเคราะห์เนื้อหาและนำเสนอแบบพรรณนา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า วิธีการทำขนมนางเล็ดประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การเตรียมวัตถุดิบ เช่น ข้าวเหนียว น้ำแตงโม น้ำตาลมะพร้าว การนึ่ง การขึ้นรูปข้าวเหนียว การตากแห้ง การทอด และการราดน้ำตาล ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยทักษะและความพิถีพิถัน ขณะเดียวกัน แนวทางการส่งเสริมอาชีพพบว่าชุมชนควรให้ความรู้ในการเลือกวัตถุดิบและควบคุมคุณภาพ พัฒนาสินค้าให้ได้มาตรฐาน ส่งเสริมการรวมกลุ่มแม่บ้าน และถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่นอย่างเป็นระบบ จากผลการวิจัยสรุปได้ว่า การทำขนมนางเล็ดสามารถพัฒนาเป็นอาชีพในชุมชนได้จริง หากมีการวางระบบการผลิตที่ชัดเจน การส่งเสริมองค์ความรู้ และการรวมกลุ่มเพื่อบริหารจัดการร่วมกันอย่างโปร่งใส ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น ควบคู่กับการสร้างรายได้และความเข้มแข็งให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2408
การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของเครื่องกวนไคโตซานระบบกึ่งอัตโนมัติต้นแบบสำหรับวิสาหกิจชุมชน
2025-05-04T15:50:31+07:00
สุพาณี วรรณกายนต์
s.wannakayont@gmail.com
ปกรเกียรติ ไพลวัลย์
s.wannakayont@gmail.com
นิคม ลนขุนทด
s.wannakayont@gmail.com
เที่ยงธรรม สิทธิจันทเสน
s.wannakayont@gmail.com
อัษฎา วรรณกายนต์
s.wannakayont@gmail.com
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์ต้นทุนและรายได้ 2) วิเคราะห์จุดคุ้มทุนและระยะเวลาคืนทุน 3) วิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน และ 4) วิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์จากเครื่องกวนไคโตซานระบบกึ่งอัตโนมัติต้นแบบสำหรับวิสาหกิจชุมชน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ 1) ตารางบันทึกต้นทุนคงที่ในการพัฒนาเครื่องกวนไคโตซาน 2) ตารางบันทึกต้นทุนผันแปรต่อครั้ง และ 3) ตารางบันทึกรายได้ต่อหน่วยในการผลิตสารละลายไคโตซาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ สถิติเชิงพรรณนา โดยนำเสนอผลการวิเคราะห์ในรูปแบบค่าร้อยละ การวิเคราะห์ต้นทุนและรายได้ การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน การวิเคราะห์ระยะเวลาคืนทุน และการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การวิเคราะห์ต้นทุนและรายได้ ในการลงทุนเครื่องกวนไคโตซานมีต้นทุนคงที่ 35,000 บาท โดยมีค่าเสื่อมราคา 7,000 บาทต่อปี หรือ 9.72 บาทต่อครั้งการผลิต เมื่อคำนวณจากอายุการใช้งาน 5 ปี ส่วนต้นทุนผันแปรต่อรอบการผลิตอยู่ที่ 1,127 บาท สามารถผลิตสารละลายไคโตซานได้ครั้งละ 19 ลิตร จำหน่ายในราคาลิตรละ 200 บาท สร้างรายได้ต่อรอบการผลิต 3,800 บาท 2) การวิเคราะห์จุดคุ้มทุนและระยะเวลาคืนทุน เครื่องกวนไคโตซานต้องผลิต 14 ครั้งจึงจะถึงจุดคุ้มทุน โดยแต่ละรอบใช้เวลาผลิต 2 ชั่วโมง ผลิตได้ 3 รอบต่อวัน สามารถคืนทุนได้ภายใน 5 วัน และ 3) การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางการเงิน เครื่องกวนไคโตซานผลิตแต่ละรอบการผลิตสร้างกำไรสุทธิ 2,663.28 บาท คิดเป็นกำไรรายวัน 7,989.84 บาท และกำไรรายเดือน 159,796.80 บาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 70% 4) การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ สามารถให้อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อเงินลงทุนเท่ากับ 3.31 เท่า ซึ่งมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ในระดับสูง ดังนั้น การพัฒนาเครื่องกวนไคโตซานระบบกึ่งอัตโนมัติต้นแบบสำหรับวิสาหกิจชุมชนจึงเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องจักรการเกษตรที่เหมาะสมสำหรับวิสาหกิจชุมชนที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมเกษตรได้</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2410
แนวทางปฏิบัติของเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวน ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ 1855/2563
2025-04-10T12:44:15+07:00
เชาวณี ชววิสิฐ
chaowanee.p@srru.ac.th
สันติ ผิวทองคำ
Chao280923@gmail.com
<p>การปฏิบัติงานของเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง เกี่ยวกับการเพิกถอนแบบใบสั่งและบัญชีอัตราค่าปรับที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย และระหว่างที่มีการอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุดนั้น เจ้าพนักงานจราจร พนักงานสอบสวนและประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจะต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดความถูกต้อง เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการจัดทำบริการสาธารณะ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1.เพื่อศึกษาสาระสำคัญของคำพิพากษาศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดงที่ 1855/2563 2. เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของคำพิพากษาต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวน ในการออกใบสั่งและกำหนดค่าปรับและ 3. เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวน ในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด และภายหลังจากที่มีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติของเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวน ภายหลังคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ 1855/2563 โดยใช้กรอบแนวคิดที่ครอบคลุมด้านกฎหมาย การปฏิบัติงาน และผลกระทบต่อประชาชนเกี่ยวกับการเพิกถอนแบบใบสั่งและบัญชีอัตราค่าปรับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากการวิจัยพบว่า 1. ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัย ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องการกำหนดแบบใบสั่ง เจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 และเรื่อง การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนประกาศพิพาททั้งสองฉบับโดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่ออกประกาศ ส่วนศาลปกครองสูงสุดแก้คำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้เพิกถอนประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่องกำหนดแบบใบสั่งเจ้าพนักงานจราจร พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2563 และประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง กำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และความผิดตามกฎหมายอื่นอันเกี่ยวกับรถหรือการใช้ทางที่มีโทษปรับสถานเดียว พ.ศ. 2563 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2566 โดยให้มีผลนับแต่วันที่พ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา 2. ผลกระทบต่อประชาชนและระบบยุติธรรมประชาชนที่ได้รับใบสั่ง อาจไม่ทราบถึงสิทธิในการโต้แย้ง ซึ่งอาจทำให้เสียเปรียบในการดำเนินคดีหากเมื่อมีคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดยืนตามศาลปกครองกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจต้องคืนค่าปรับที่เก็บไปแล้ว 3. แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับเจ้าพนักงานจราจรและพนักงานสอบสวน ในระหว่างที่คดียังไม่ถึงที่สุด และภายหลังจากที่มีคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ผลการวิจัยสรุปได้ว่าแนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าหน้าที่ ได้แก่ การใช้ใบสั่งที่เคยใช้ก่อนประกาศที่ถูกเพิกถอน หรือเพิ่มเติมข้อความเพื่อแจ้งสิทธิของผู้ถูกออกใบสั่งให้สามารถโต้แย้งข้อกล่าวหาได้ รวมถึงการใช้ดุลพินิจในการกำหนดค่าปรับแทนการใช้อัตราค่าปรับแบบคงที่ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายจราจรและหลักความเป็นธรรม</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2445
การวิเคราะห์เปรียบเทียบอุปลักษณ์เชิงพื้นที่ของคำว่า “ใจ” ในภาษาจีนและภาษาไทย
2025-05-04T16:05:45+07:00
ภาณุเดช จริยฐิตินันท์
kuwenwong@gmail.com
<p>งานวิจัยฉบับนี้มุ่งวิเคราะห์และเปรียบเทียบอุปลักษณ์เชิงพื้นที่ของคำว่า “心 [ซิน] ใจ” ในภาษาจีน และ “ใจ” ในภาษาไทย ภายใต้กรอบแนวคิดอุปลักษณ์เชิงมโนทัศน์ของเลคอฟฟ์และจอห์นสัน โดยอาศัยคลังข้อมูลภาษาจีนและภาษาไทยเป็นแหล่งข้อมูลหลักในการรวบรวมตัวอย่างผ่านคำค้น “心 [ซิน] ใจ” และ “ใจ” จากนั้นจึงวิเคราะห์ตามแนวคิดพื้นที่สามมิติ ได้แก่ มิติของเส้น (หนึ่งมิติ) พื้นผิว (สองมิติ) และภาชนะ (สามมิติ) ผลการศึกษาพบว่าทั้งสองภาษามีลักษณะร่วมกันในการใช้อุปลักษณ์เชิงพื้นที่เพื่ออธิบายมโนทัศน์ “ใจ” อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ยังปรากฏความแตกต่างบางประการ โดยเฉพาะในมิติหนึ่งมิติซึ่งพบเฉพาะในภาษาจีน ขณะที่มิติที่สองและสาม แม้จะมีแนวโน้มในการเปรียบ “ใจ” เป็นพื้นที่ในลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่กลับใช้คำและความหมายที่มีทั้งความใกล้เคียงและแตกต่างกัน อันสะท้อนให้เห็นถึงกลไกการรับรู้ร่วมของมนุษย์ในการจัดระเบียบความเข้าใจต่อสิ่งนามธรรมผ่านมโนทัศน์เชิงพื้นที่ ตลอดจนแสดงอิทธิพลของบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่หล่อหลอมมโนทัศน์เฉพาะในแต่ละภาษา ซึ่งผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการศึกษาด้านภาษาศาสตร์ปริชาน การเรียนการสอนภาษาจีนและภาษาไทย ตลอดจนการแปลระหว่างสองภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2451
การบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
2025-05-05T15:33:38+07:00
วีรยา กำลังสง่า
bam0645730224@gmail.com
นวรัตน์วดี ชินอัครวัฒน์
Bam0645730224@gmail.com
ทรงเดช สอนใจ
Bam0645730224@gmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันสภาพที่พึงประสงค์ และความต้องการจำเป็น 2) ศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา 3) ประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา จำนวน 79 โรงเรียน กลุ่มผู้ให้ข้อมูล จำนวน 316 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถามสภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์แบบมาตราส่วนประมาณค่า ศึกษาแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน <br />12 คน โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก ประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยตัวแทนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จำนวน 40 คน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และความต้องการจำเป็น (PNImodified) นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบตารางและการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า</p> <ol> <li>สภาพปัจจุบันและสภาพที่พึงประสงค์ของการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความต้องการจำเป็น (PNImodified) มากที่สุด คือ ทักษะทางสังคมและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม</li> <li> แนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบว่า ได้จำนวน 19 แนวทาง</li> <li>ผลการประเมินแนวทางการบริหารสถานศึกษาเพื่อส่งเสริมทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบว่า ความเหมาะสม และความเป็นไปได้ อยู่ในระดับมากที่สุด </li> </ol>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2488
การใช้โปรแกรมออกกำลังกายเชิงกีฬาร่วมกับเทคโนโลยีติดตามผลเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตและลดความเครียดของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
2025-05-10T11:23:18+07:00
ชลธิชา แก้วมี
chonthicha.ka@northbkk.ac.th
ณปภัช วชิรกลิ่นขจร
chonthicha.ka@northbkk.ac.th
กัณฑริภา ศิริธนาพานิชกุล
chonthicha.ka@northbkk.ac.th
ปรีดีชา จรัลพงษ์
chonthicha.ka@northbkk.ac.th
สุริยา จันทกูล
chonthicha.ka@northbkk.ac.th
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาผลของการใช้โปรแกรมออกกำลังกายเชิงกีฬาร่วมกับเทคโนโลยีติดตามผลต่อระดับความเครียดของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (2) ศึกษาผลของโปรแกรมดังกล่าวต่อสุขภาพจิตของนักเรียน (3) เปรียบเทียบผลการลดระดับความเครียดและการส่งเสริมสุขภาพจิตระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับโปรแกรมกับกลุ่มควบคุม และ (4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลจากเทคโนโลยีติดตามผลการออกกำลังกาย เช่น จำนวนก้าว แคลอรี่ที่ใช้ และอัตราการเต้นของหัวใจ กับระดับความเครียดและสุขภาพจิตของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ประชากรกลุ่มเป้าหมายของการวิจัยประกอบด้วยนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 โรงเรียนวัดหนองใหญ่ สำนักงานเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 407 คน แบ่งเป็นนักเรียนชาย 214 คน และนักเรียนหญิง 193 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษานี้ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จากประชากรทั้งหมด โดยคัดเลือกจำนวน 60 คน (เพศชาย 30 คน และเพศหญิง 30 คน) และสุ่มแบ่งออกเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองได้รับการเข้าร่วมโปรแกรมการออกกำลังกายเชิงกีฬา ได้แก่ ฟุตบอล บาสเกตบอล และวอลเลย์บอล จำนวน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ พร้อมการใช้เทคโนโลยีติดตามผลผ่านอุปกรณ์สมาร์ตวอทช์และแอปพลิเคชันที่ใช้ในการประเมินระดับความเครียดและสุขภาพจิต</p> <p>เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามวัดความเครียด Perceived Stress Scale (PSS) และแบบสอบถามวัดสุขภาพจิต Mental Health Inventory (MHI) ซึ่งผ่านการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ โดยผู้เชี่ยวชาญและมีค่าความเชื่อมั่น (Cronbach’s Alpha) เท่ากับ .89 และ .91 ตามลำดับ การเก็บข้อมูลดำเนินการสองครั้ง ได้แก่ ก่อนทดลอง (Pre-test) และหลังทดลอง (Post-test) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา สถิติทดสอบ t-test และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์แบบ Pearson’s Correlation</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีระดับความเครียดลดลงจากค่าเฉลี่ย 28.4 เหลือ 18.6 (ลดลง 34.5%) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) ขณะที่กลุ่มควบคุมไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.750) ด้านสุขภาพจิต กลุ่มทดลองมีคะแนนเพิ่มขึ้นจาก 55.2 เป็น 70.3 (เพิ่มขึ้น 27.4%) อย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.001) ขณะที่กลุ่มควบคุมมีคะแนนลดลงเล็กน้อย (p = 0.420) นอกจากนี้ ยังพบความสัมพันธ์เชิงลบอย่างมีนัยสำคัญระหว่างระดับความเครียดกับสุขภาพจิต (r = -0.72, p < 0.001) จากข้อมูลเทคโนโลยีติดตามผล พบว่ากลุ่มทดลองมีจำนวนก้าวเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 3,800 เป็น 6,200 ก้าว อัตราการเต้นของหัวใจลดลงจาก 85 เป็น 70 ครั้งต่อนาที และแคลอรี่ที่เผาผลาญเพิ่มจาก 250 เป็น 500 กิโลแคลอรี่ โดยทั้งหมดมีความสัมพันธ์เชิงลบกับระดับความเครียดอย่างมีนัยสำคัญ (r = -0.72, -0.68 และ -0.65 ตามลำดับ, p < 0.001)</p> <p>จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า การใช้โปรแกรมออกกำลังกายเชิงกีฬาร่วมกับเทคโนโลยีติดตามผลเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดระดับความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิตของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นกิจกรรมในสถานศึกษา เพื่อเสริมสร้างสุขภาพจิตของนักเรียนในระยะยาว และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ในการติดตามพฤติกรรมสุขภาพของเยาวชนต่อไป</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2526
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ปราสาทพนมรุ้ง สำหรับครูผู้สอน ระดับประถมศึกษา
2025-05-07T19:27:12+07:00
บรรพต สรวนรัมย์
krezexus@gmail.com
<p>บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ปราสาทพนมรุ้ง สำหรับครูผู้สอนระดับประถมศึกษา 2) ศึกษาผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ปราสาทพนมรุ้ง สำหรับครูผู้สอนระดับประถมศึกษา โดยการเลือกกลุ่มเป้าหมาย แบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 10 โรงเรียน นักเรียน 220 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1.) การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง ปราสาทพนมรุ้ง สำหรับครูผู้สอนระดับประถมศึกษา สามารถออกแบบโครงร่างหลักสูตรฝึกอบรมมี 9 องค์ประกอบ ซึ่งมีเนื้อหาสาระจำนวน 6 หน่วย และมีขั้นตอนการฝึกอบรม 3 ขั้นตอน มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.09 2.) ผลการดำเนินการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม แบ่งเป็น 2 ประเด็น ดังนี้ 2.1) ผลการใช้หลักสูตรฝึกอบรมที่เกิดขึ้นกับผู้เข้ารับการฝึกอบรม 2.1.1) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรฝึกอบรม มีความรู้หลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.1.2) ผู้เข้ารับการฝึกอบรม มีความพึงพอใจต่อการฝึกอบรม โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.23 2.1.3) ผู้เข้ารับการฝึกอบรม มีความสามารถในการจัดทำหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.84 คิดเป็นร้อยละ 76.80 2.1.4) ผู้เข้ารับการฝึกอบรม มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยรวม มีพฤติกรรมการจัดการเรียนรู้ที่มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ย 3.62 คิดเป็นร้อยละ 72.44 2.2) ผลการใช้หน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการที่เกิดกับนักเรียน 2.2.1) นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ มีคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.2.2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน โดยรวม มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย 4.52 </p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2536
The Effect of Project Work on Students’ Reading Comprehension: A Study at Baoshan University
2025-05-13T11:45:03+07:00
Angcharin Thongpan
angcharin@reru.ac.th
Yang Xiaorui
angcharin@reru.ac.th
Phornnuanphajong Luangwangpho
angcharin@reru.ac.th
<p>The purposes of this study were to investigate the effects of project work on Baoshan University students’ reading comprehension and the Baoshan University students’ opinion towards project work. The samples were 30 the first-year students majoring in Pre-school Education in Baoshan University. There were three instruments employed in this study and they were lesson plans, reading comprehension test and student’s opinion questionnaire. The data from tests were statistically analyzed by paired sample t-test. mean and standard deviation. The result of the research revealed that: 1) The Baoshan University students’ mean score in reading comprehension posttest significantly differed from the pre-test at the level of 0.05. 2) The Baoshan University students’ opinion towards the project work was as a high level.</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2589
การบริหารความเสี่ยงที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็กในจังหวัดสุรินทร์
2025-05-24T13:16:48+07:00
ฉัตริน ซ่อนกลิ่น
chattarin2357@gmail.com
ภรณี หลาวทอง
Chattarin2357@Gmail.com
ชินจิรัฎฐ์ จรัญศิริไพศาล
Chattarin2357@Gmail.com
<p>การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็ก (2) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็ก และ (3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความเสี่ยงกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้ประกอบการธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็กจำนวน 278 ราย ในจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และตรวจสอบความเชื่อมั่นโดยใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าของครอนบาค วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ระดับการบริหารความเสี่ยงโดยรวมของธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็กอยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะในด้านการกำกับดูแลกิจการและวัฒนธรรมองค์กร และกลยุทธ์กับวัตถุประสงค์องค์กร ขณะเดียวกันระดับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของธุรกิจโดยรวมอยู่ในระดับมากเช่นกัน ในมิติของคุณภาพงาน ปริมาณงาน เวลา และค่าใช้จ่าย การวิเคราะห์เชิงสถิติเผยว่า การบริหารความเสี่ยงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิทธิภาพการปฏิบัติงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยองค์ประกอบที่ส่งผลมากที่สุด คือ การกำกับดูแลกิจการและวัฒนธรรมองค์กร และการใช้ข้อมูลสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ</p> <p>ผลการศึกษาครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า การบริหารความเสี่ยงที่เป็นระบบ มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็ก โดยเฉพาะในบริบทของจังหวัดสุรินทร์ที่มีสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมเฉพาะตัว</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2402
การพัฒนาสังคมผ่านการยกระดับผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านโคกสวายด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG
2025-05-13T11:52:03+07:00
กาญจนา เถาว์ชาลี
kanjana.t@srru.ac.th
ศรัณย์ ศิลาเณร
sarun.s@srru.ac.th
พงษ์พันธ์ พึ่งตน
pongpun.p@srru.ac.th
วิไลวรรณ งามฉลาด
wilaiwan@srru.ac.th
<p>โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านโคกสวาย ตำบลท่าสว่าง จังหวัดสุรินทร์ ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ร่วมกับชุมชน โดยเน้นการแปรรูปวัตถุดิบในท้องถิ่น เช่น ปลา เห็ดป่า และสมุนไพร พร้อมพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สะท้อนอัตลักษณ์ชุมชน ทั้งนี้ โครงการดำเนินการตามแนวคิดเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของชุมชนในตลาด วัตถุประสงค์สำคัญประกอบด้วย (1) การบูรณาการองค์ความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัยกับชุมชน (2) การสร้างแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น และ (3) การพัฒนาและส่งเสริมกระบวนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ กระบวนการศึกษาเน้นการปฏิบัติจริง โดยดำเนินกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม ได้แก่ การสำรวจภูมิปัญญาในชุมชน การพัฒนาอาชีพผ่านการแปรรูปวัตถุดิบ และการถอดบทเรียนเพื่อนำองค์ความรู้ไปต่อยอด ผลการศึกษาพบว่า ชุมชนสามารถผลิตสินค้าชุมชนใหม่ได้อย่างน้อย 3 ชนิด ได้แก่ ปลาส้ม น้ำพริกเห็ดป่า และแหนมเห็ดป่า ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่เสริมสร้างความเข้มแข็งและความร่วมมือระหว่างสมาชิก พร้อมทั้งเกิดแหล่งเรียนรู้ที่สนับสนุนการถ่ายทอดองค์ความรู้ในระยะยาว คุณค่าของโครงการนี้คือการส่งเสริมศักยภาพชุมชนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างความยั่งยืนให้แก่ชุมชนตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG</p>
2025-06-26T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2521
แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง
2025-06-17T09:41:04+07:00
เพ็ญประภา สุคนธี
penprapa03102537@gmail.com
<p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพพึงประสงค์และความต้องการจำเป็นของภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง และ2) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยแบบผสมผสาน กลุ่มตัวอย่างคือ ครูโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง จำนวน 201 คน โดยใช้เกณฑ์กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างของ เครจซี และมอร์แกน (Krejcie and Mogan,1970) ใช้วิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม มาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐานและการหาค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNI modified) และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้างจากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 คน โดยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันของการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูในภาพรวม อยู่ในระดับมาก สภาพที่พึงประสงค์ของการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมากที่สุด คือ ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล และต้องการจำเป็นสูงสุด คือ ด้านความยืดหยุ่น มีค่าดัชนีสูงที่สุด (PNI<sub>modified </sub>= 0.066) 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของครูในโรงเรียนขนาดเล็กสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง ทั้งหมด 4 ด้าน มี 13 แนวทางพัฒนา คือ 1) ด้านความยืดหยุ่น มี 3 แนวทางพัฒนา 2) ด้านการมีวิสัยทัศน์ มี 4 แนวทางพัฒนา 3) ด้านการมีจินตนาการ มี 3 แนวทางพัฒนา 4) ด้านการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคล มี 3 แนวทางพัฒนา</p>
2025-06-27T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2532
การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องตรรกศาสตร์เบื้องต้น
2025-05-08T15:18:49+07:00
นรินทรา มิ่งโอโล
m.narintra@gmail.com
จิราภรณ์ ดีประเสริฐ
applejira0808@gmail.com
ปารเมศ ชิณะแขว
Pharamaet@gmail.com
รัชนีเพ็ญ พลเยี่ยม
R.Phonyiam@reru.ac.th
ปิยะธิดา ชนะพันธ์
parada2527@gmail.com
พิสิฐ พินิจสกุล
Pisit_pinitsakul@hotmail.com
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain-Based Learning: BBL) สำหรับการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง ตรรกศาสตร์เบื้องต้น ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการเรียน และศึกษาระดับความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมดังกล่าว กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 40 คน จากโรงเรียนสตรีศึกษา จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบ BBL แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 และแบบสอบถามความพึงพอใจมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test แบบ dependent sample ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ 87.00/76.13 สูงกว่าเกณฑ์ นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนต่อกิจกรรมการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (x̄ = 4.65, S.D. = 0.09) แสดงให้เห็นว่าการใช้แนวคิด BBL มีศักยภาพในการพัฒนาผลการเรียนรู้และสร้างทัศนคติที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>
2025-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2563
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัลสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2025-05-15T15:10:16+07:00
อรยา อำภวา
fern190060@gmail.com
สมฤทัย เตาจันทร์
Fern190060@gmail.com
ชวนคิด มะเสนะ
Fern190060@gmail.com
<p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล 2) เปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษา<br />ในยุคดิจิทัล จำแนกตาม ตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา 3) ศึกษาแนวทาง<br />การพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3 ตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 323 คน กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูที่ได้รางวัลที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา จำนวน <br />4 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การทดสอบค่าเอฟ (F-test) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า 1) ความคิดเห็นเกี่ยวกับระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง<br />ของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การเปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล จำแนกตาม ตำแหน่ง และขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และ 3) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศึกษาในยุคดิจิทัล คือ ผู้บริหารเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบุคลากร สามารถนำพาสถานศึกษาก้าวทันต่อ<br />การเปลี่ยนแปลง มีความรู้ที่ทันสมัย และต้องมอบหมายงานตามความเหมาะสม</p>
2025-06-28T00:00:00+07:00
Copyright (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ