https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/issue/feed
วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
2025-12-15T15:08:11+07:00
รองศาสตราจารย์ ดร.จิรายุ ทรัพย์สิน
jasrru@srru.ac.th
Open Journal Systems
<p>วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />Journal of Academic Surindra Rajabhat<br />ISSN 2822-0870 (Print)<br />ISSN 2822-0889 (Online)</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่ปีละ 6 ฉบับ คือ</strong> <br />- ฉบับที่ 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์) <br />- ฉบับที่ 2 (มีนาคม-เมษายน) <br />- ฉบับที่ 3 (พฤษภาคม-มิถุนายน) <br />- ฉบับที่ 4 (กรกฎาคม-สิงหาคม) <br />- ฉบับที่ 5 (กันยายน-ตุลาคม) <br />- ฉบับที่ 6 (พฤศจิกายน–ธันวาคม)</p> <p>ทั้งนี้ วารสารจะตีพิมพ์บทความ 12 - 15 บทความ ต่อฉบับ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป</p> <p><strong>ขอบเขตของวารสาร ดังนี้ ผลงานทางวิชาการทาง<br /></strong>- สหวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์<br />- การศึกษา<br />- การบริหารจัดการ<br />- การบูรณาการข้ามศาสตร์เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน<br />- บทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกของปัญหาให้แก่ท้องถิ่น สังคม ประเทศ</p> <p><strong>ประเภทของบทความ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท</strong> ได้แก่ บทความวิจัย และบทความวิชาการ</p> <p>รับตีพิมพ์บทความ ทั้ง บทความภาษาไทย และบทความภาษาอังกฤษ</p> <p><strong>เงื่อนไขการตีพิมพ์บทความ<br /></strong>บทความแต่ละบทความจะได้รับพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบบทความ (Peer Reviewer) จากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อยสามท่าน โดยบทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกคนละหนึ่งท่าน หรือผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอย่างน้อยสองท่าน ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร มีความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายสถาบัน และได้รับความเห็นชอบจากกองบรรณาธิการก่อนตีพิมพ์ ทั้งนี้จะมีรูปแบบที่ผู้พิจารณาบทความไม่ทราบชื่อผู้นิพนธ์บทความและผู้นิพนธ์บทความไม่ทราบชื่อผู้พิจารณาบทความเช่นเดียวกัน (Double-Blind Peer Review) และทางกองบรรณาธิการขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาบทความจนกว่าจะได้แก้ไขให้ถูกต้องตามข้อกำหนดของวารสาร ทั้งนี้ บทความต้นฉบับที่ส่งมาตีพิมพ์จะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์ใดมาก่อน และไม่อยู่ในระหว่างพิจารณาเสนอขอตีพิมพ์ในวารสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ หากมีการใช้ภาพหรือตารางของผู้นิพนธ์อื่นที่ปรากฏในสิ่งตีพิมพ์อื่นมาแล้ว ผู้นิพนธ์ต้องขออนุญาตเจ้าของลิขสิทธิ์ก่อน พร้อมทั้งแสดงหนังสือที่ได้รับการยินยอมต่อกองบรรณาธิการก่อนที่บทความจะได้รับการตีพิมพ์ สำหรับทัศนะและข้อคิดเห็นของบทความในวารสารฉบับนี้ เป็นของผู้นิพนธ์แต่ละท่าน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของกองบรรณาธิการ</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์เฉพาะแบบปกติ และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์แบบเร่งด่วน (Fast Track) ดังนี้<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาไทย 3,500 บาท/ บทความ<br />- บทความวิจัย/ บทความวิชาการ ภาษาอังกฤษ 4,500 บาท/ บทความ<br />โดยจะเรียกเก็บค่าตีพิมพ์บทความสำหรับบทความที่ส่งเข้าระบบ ในปีที่ 3 ฉบับที่ 2 ตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป<br /><br /><strong>คำชี้แจง</strong>ขั้นตอนการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ<br />1. ขอให้ผู้นิพนธ์ส่งไฟล์เอกสารผ่านระบบ ThaiJo ประกอบด้วย<br />1.1 บทความวิจัย/บทความวิชาการ ในรูปแบบไฟล์ Word จำนวน 1 ไฟล์<br />1.2 แบบฟอร์มส่งบทความ จำนวน 1 ไฟล์<br />2. เมื่อไฟล์เอกสารครบถ้วนแล้ว ทางกองบรรณาธิการจะพิจารณาบทความเบื้องต้น ตามข้อกำหนดของวารสาร หากผ่านการพิจารณาบทความเบื้องต้น ทางวารสารจะแจ้งให้ชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารก่อนการตรวจประเมินคุณภาพบทความ<br />3. ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสาร กำหนดให้โอนชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารผ่านทางบัญชีธนาคาร โดยผู้นิพนธ์จะได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่วารสารเท่านั้น</p> <p><strong>ช่องทางการชำระค่าธรรมเนียม</strong><br />ชื่อบัญชี มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (บกศ2)<br />ชื่อธนาคาร ธนาคารกรุงเทพ ประเภท เงินฝากออมทรัพย์<br />เลขที่บัญชี 644-0-30330-0</p> <p><strong>ทั้งนี้</strong> เมื่อชำระค่าธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว กรุณาจัดส่งหลักฐานการชำระเงินผ่านระบบวารสาร โดยระบุ 1) ชื่อ - สกุล ผู้นิพนธ์ 2) ชื่อบทความ 3) สลิปการโอน<br /><br /><strong>หมายเหตุ:</strong> การชำระค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์วารสารทุกรายการ เป็นค่าดำเนินการของวารสาร ซึ่งหากบทความของท่านไม่ผ่านการพิจารณาให้ตีพิมพ์ลงในวารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ จากผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน และถูกปฏิเสธการลงตีพิมพ์ ทางวารสารจะไม่คืนเงินค่าตีพิมพ์วารสารดังกล่าว</p>
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/3074
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของกลุ่มแปลงใหญ่ศูนย์ข้าวชุมชนบ้านกลางสามัคคี ตำบลพระแก้ว อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์
2025-11-20T15:56:56+07:00
ธีรนันท์ สุขพราว
theeranan197878@gmail.com
จรรยา สิงห์คำ
jijanr24@gmail.com
วันเพ็ญ ชลอเจริญยิ่ง
Wchalorcharoenying@gmail.com
นิอร งามฮุย
nion.ng@rmuti.ac.th
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบริบท การดำเนินงาน และปัจจัยแห่งความสำเร็จของกลุ่มแปลงใหญ่เมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชนบ้านกลางสามัคคี ตำบลพระแก้ว อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณจากแบบสอบถามสมาชิกกลุ่มจำนวน 90 คน และการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพผ่านการสนทนากลุ่มผู้ให้ข้อมูล 10 คน เครื่องมือวิจัยผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (IOC = 0.902) มีค่า Pearson’s <em>r </em>= 0.99 <em>(</em><em>p </em>< 0.001<em>)</em> วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติพื้นฐานและเชิงบรรยาย ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มมีโครงสร้างคณะกรรมการและการบริหารงานชัดเจน เน้นการมีส่วนร่วมของสมาชิกในการดำเนินกิจกรรมภายในกลุ่ม ได้รับการความช่วยเหลือจากหน่วยงานรัฐและเอกชน การดำเนินกิจกรรมกลุ่มสามารถลดต้นทุนการผลิตลงร้อยละ 17.32 กลุ่มสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดีที่ได้รับการรับรอง GAP และสมาชิกบางส่วนได้รับการรับรองเกษตรอินทรีย์ มีการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์และข้าวสารอินทรีย์ภายใต้แบรนด์ของกลุ่ม และการขยายช่องทางตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์ อย่างไรก็ตาม กลุ่มยังประสบปัญหาด้านข้อจำกัดด้านสถานที่เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การพึ่งพาตลาดบางช่องทาง และโครงสร้างสมาชิกที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ปัจจัยแห่งความสำเร็จมาจากการสนับสนุนทรัพยากรที่เพียงพอ กระบวนการบริหารจัดการที่เป็นระบบ และการมีส่วนร่วมของสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้คุณภาพเมล็ดพันธุ์สูงขึ้น ต้นทุนลดลง และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน</p>
2025-12-16T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/1025
การศึกษาพัฒนาการความเชื่อและพิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ ของชาวพุทธจังหวัดสุรินทร์
2024-07-08T15:57:56+07:00
ยโสธารา ศิริภาประภากร
yasotharar.s@gmail.com
สุริยา คลังฤทธิ์
yasotharar.s@gmail.com
เกริกวุฒิ กันเที่ยง
yasotharar.s@gmail.com
น้ำฝน จันทร์นวล
yasotharar.s@gmail.com
<p>การศึกษาพัฒนาการความเชื่อและพิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ วัตถุประสงค์การศึกษา (1)เพื่อศึกษาพัฒนาการของความเชื่อและพิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ (2) เพื่อศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการสังเกต การมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์ กลุ่มเป้าหมายจำนวน 15 คน</p> <p> ผลการศึกษา</p> <p> พัฒนาการของความเชื่อและพิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุมีรากฐานมาจากความหวาดกลัวต่อภัยธรรมชาติในระยะเริ่มต้นของมนุษย์ จากนั้นจึงพัฒนามาสู่ความหวาดกลัวต่อวิญญาณของบรรพบุรุษและบุคคลที่กล้าหาญในชุมชนซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว ความหวาดกลัวนี้นำไปสู่การบวงสรวงและการเซ่นไหว้ เพื่อเป็นการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่ามีอำนาจเหนือธรรมชาติ ความเชื่อแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ (1) ความเชื่อดั้งเดิม ที่สืบทอดอยู่ในชุมชน (2) ความเชื่อที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม คติความเชื่อสามารถอธิบายได้ว่าเป็นการยอมรับในหลักการบางอย่างหรือบุคคลซึ่งเชื่อว่ามีอำนาจเหนือมนุษย์ สิ่งเหนือธรรมชาติ และวิญญาณ ในบริบทของดินแดนแถบนี้ ความเชื่อเรื่องวิญญาณยังคงฝังแน่นในวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในพิธีกรรมหรือประเพณีท้องถิ่น ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ความเชื่อและพิธีกรรมการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ มนุษย์มีความเชื่อและความหวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรืออำนาจเหนือธรรมชาติจะสามารถมีอิทธิพลต่อชีวิตของตนเองได้ จึงได้ปฏิบัติตามความเชื่อนี้ด้วยวิธีการต่างๆ ในยุคโบราณ ความเชื่อเหล่านี้แสดงออกผ่านการบูชาเทพเจ้า หรือสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยมีจุดประสงค์ให้ตนเองรอดพ้นจากภัยพิบัติและมีชีวิตยืนยาว</p>
2025-12-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/jasrru/article/view/2962
การบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 3
2025-11-24T11:48:27+07:00
รัชนี ท้าวมา
ratchanee.tg66@ubru.ac.th
ธิดารัตน์ จันทะหิน
Thidarat.ja@ubru.ac.th
ชวนคิด มะเสนะ
Chuankid.m@ubru.ac.th
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาสภาพการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา (2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา (3) ศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา วิธีการศึกษาใช้รูปแบบผสมผสาน ระหว่างเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ประชากรที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 2,013 คน ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 323 คน จำแนกเป็น ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 40 คน และครู จำนวน 283 คน โดยกำหนดขนาดของตัวอย่างตามตารางของเครจซี่ และมอร์แกน (2513) ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิตามขนาดสถานศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการสัมภาษณ์ จำนวน 6 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 3 คน และครู จำนวน 3 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบเฉพาะเจาะจง ใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ดังนี้ ข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์<br />การทดสอบที (t-test) การทดสอบเอฟ (F-test) และการทดสอบความแตกต่างรายคู่ โดยใช้วิธีของ Scheffé ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) การบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.38) ตามเกณฑ์ (บุญชม ศรีสะอาด, 2560) ทั้งนี้เพราะผู้บริหารสถานศึกษา มีความตระหนักและให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารงานบุคคล เนื่องจากบุคลากรเป็นทรัพยากรหลักในการขับเคลื่อนการศึกษา โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มประสิทธิภาพใน<br />การทำงาน ซึ่งช่วยให้บุคคลสามารถเข้าถึงข้อมูลและทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและสะดวก อีกทั้งการเสริมสร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานย่อมส่งผลให้ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และช่วยให้สถานศึกษาบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ <br />2) การเปรียบเทียบการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามตำแหน่ง และประสบการณ์ในการทำงาน โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนจำแนกขนาดสถานศึกษาพบว่า โดยรวมไม่แตกต่างกัน 3) แนวทางการพัฒนาการบริหารงานบุคคลในยุคดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษา ได้ผลดังนี้ 1) ด้านการวางแผนอัตรากำลังและกำหนดตำแหน่ง ควรใช้เทคโนโลยีใน<br />การวางบุคคลให้เหมาะสมกับความต้องการของสถานศึกษา 2) ด้านการสรรหาและบรรจุแต่งตั้ง ควรใช้ระบบออนไลน์ในการคัดเลือกและจัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบ 3) ด้านการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ควรส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร ใช้แพลตฟอร์มออนไลน์และเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างแรงจูงใจติดตามความก้าวหน้าและสนับสนุนการอบรมเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ 4) ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงาน ควรส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยีในการประเมินผลการปฏิบัติงาน การพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนและการประเมิน วิทยฐานะ 5) ด้านวินัยและการรักษาวินัย ควรใช้เทคโนโลยีในการส่งเสริมให้ความรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ในด้านวินัยและการรักษาวินัย สร้างความตระหนักในการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาลและการประพฤติตนตามระเบียบวินัยและจรรยาบรรณวิชาชีพอย่างเคร่งครัด</p>
2025-12-17T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารราชภัฏสุรินทร์วิชาการ