https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/issue/feed วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง 2024-03-30T01:22:16+07:00 ดร.ธีร์วรา บวชชัยภูมิ teewara.b@bsru.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรามคำแหง ดำเนินงานโดย สมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชนรามคำแหง ทั้งนี้เพื่อเผยแพร่ผลงานด้านวิชาการ และได้นำผลงานวิจัยสู่หน่วยงานภายนอกและเพิ่มความก้าวหน้าทางวิชาการในศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพโลจิสติกส์และชัพพลายเชนหรือสาขาที่เกี่ยวข้องด้านมนุษย์และสัมคมศาสตร์ เป็นการสร้างเครือข่ายอันนำไปสู่ความก้าวหน้าด้านวิชาการของบุคลากรเป็นการเผยแพร่และถ่ายทอดผลงานวิชาการและวิจัยในรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นตัวแทนในการจัดงานประชุมด้านวิชาการด้านวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชนในระดับชาติและเป็นสื่อกลางการเผยแพร่ผลงานวิชาการและวิจัยภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ</p> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/article/view/1121 ความริเริ่มแถบและเส้นทาง : ยุทธ์ศาสตร์ในการพัฒนาระดับโลก 2024-03-15T15:07:38+07:00 Virasak Sirikul vsirikul7@gmail.com <p>ทางสายไหมหรือเส้นทางสายไหม เป็นเครือข่ายเส้นทางการค้าที่ครอบคลุมทั่วทั้งทวีปเอเชียและยุโรปที่รวมเรียกว่ายูเรเชีย&nbsp; เส้นทางสายไหมไม่เพียงแต่เป็นเส้นทางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเส้นทางในการถ่ายทอดวัฒนธรรม ศาสนา และเทคโนโลยีอีกด้วย&nbsp; ทางสายไหมสามารถจำแนกได้เป็น 3 ยุค คือ (1) ทางสายไหมก่อนประวัติศาตร์&nbsp; ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากเส้นทางเดินของสัตว์สู่เส้นทางทุ่งหญ้าเสตปป์ยูเรเชีย&nbsp; เส้นทางการค้าของชาวโนแม็ดยูเรเชีย&nbsp; และได้วิวัฒนการมาเป็นทางสายไหม&nbsp; (2) เส้นทางสายไหมประวัติศาสตร์ 4 เส้นทางได้แก่&nbsp; เส้นทางสายไหมตอนเหนือ จากฉางอานหรือเชียงอาน ไปจนถึงอาณาจักรพาร์เธีย แบคเตรีย เปอร์เซีย และโรม&nbsp; เส้นทางสายไหมตอนใต้ จากฉางอานไปยังอาฟกานิสถาน และไปเชื่อมกับเส้นทางสายไหมตอนเหนือในเติร์กเมนิสถาน&nbsp;&nbsp; เส้นทางสายไหมตะวันตกเฉียงใต้ จากยาอานไปสิ้นสุดที่ต้าหลี ในมณฑลยุนนาน&nbsp; และ&nbsp; เส้นทางสายไหมทางทะเล สองเส้นทาง&nbsp; เส้นทางตะวันออก จากจีนไปยังคาบสมุทรเกาหลีและญี่ปุ่น&nbsp; และเส้นทางตอนใต้ จากจีนไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ทะเลอาราเบีย มหาสมุทรอินเดีย และอ่าวเปอร์เซีย (3) ทางสายไหมใหม่ ตามยุทธศาสตร์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”&nbsp; ของจีน&nbsp;&nbsp; หรือที่จีนเรียกว่า ความริเริ่มแถบและเส้นทาง ประกอบด้วยเส้นทางทางบกหกเส้นทาง (1) ระเบียงเศรษฐกิจสะพานบกยูเรเชียใหม่ (2) ระเบียงเศรษฐกิจจีน - มองโกเลีย - รัสเซีย (3) ระเบียงเศรษฐกิจจีน - เอเชียกลาง - เอเชียตะวันตก&nbsp; (4) ระเบียงเศรษฐกิจจีน – คาบสมุทรอินโดจีน (5) ระเบียงเศรษฐกิจบังคลาเทศ - จีน - อินเดีย – เมียนมาร์ และ (6) ระเบียงเศรษฐกิจ&nbsp; จีน - ปากีสถาน</p> 2023-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/article/view/607 การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษา ร้านถูกดี สายรุ้ง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย 2023-05-21T00:57:57+07:00 หนุ่ม เครือ krueafhaa_06@hotmail.com <p>การศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้า กรณีศึกษา ร้านถูกดี สายรุ้ง ตำบลดอยลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย รายงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาในกระบวนการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้า 2) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้าโดยใช้ทฤษฎี 5 ส 3) เพื่อศึกษาการนำเทคนิคการควบคุมด้วยการมองเห็น (Visual control) ร่วมกับเทคนิค FIFO (First In First Out) มาประยุกต์ใช้ภายในคลังสินค้า โดยการศึกษากระบวนการการปฏิบัติงานต่าง ๆ ของพนักงานตั้งแต่กระบวนการรับสินค้าจนไปถึงการนำสินค้าออกจากคลัง และนำแผนผังก้างปลา (fishbone diagram) มาวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาในกระบวนการทำงานที่เกิดขึ้นเพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่แท้จริงอย่างเป็นระบบ ปรับปรุงแก้ไขโดย นำหลักการ ทฤษฎี 5 ส มาใช้ในการปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการจัดเก็บสินค้าภายในคลังสินค้าพบว่าหลังการปรับปรุง คลังสินค้ามีบรรยากาศ ดูสะอาด ดูน่าใช้ ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น พื้นที่ว่างดูโล่งสามารถจัดเก็บสินค้าได้มากขึ้น และเพิ่มความสะดวกในการหยิบหาสินค้าได้มากยิ่งขึ้น จึงนำเทคนิคการควบคุมด้วยการมองเห็น (Visual control) ร่วมกับเทคนิค FIFO (First In First Out) มาปรับปรุงต่อพบว่า ผลการจับเวลาตั้งแต่การเข้าไปหยิบ-หาสินค้าจนนำออกจากคลัง ก่อน-หลัง คือ พนักงานคนที่ 1 เฉลี่ยในการหยิบ-หาสินค้าก่อนการปรับปรุง ใช้เวลาประมาณ 41.93 นาที และ คนที่ 2 ใช้เวลาประมาณ 41.68 นาที หลังทำการปรับปรุงพนักงาน คนที่ 1 ใช้เวลา 33.59 นาที คิดเป็นร้อยละ 80.11 และ คนที่ 2 ใช้เวลา 34.43 นาที คิดเป็น ร้อยละ 82.60 สามารถลดระยะเวลาไปได้คนละประมาณ 8 นาที ทำให้พนักงานสามารถปฏิบัติงานได้เร็วมากยิ่งขึ้นและสะดวกมากขึ้น</p> 2024-03-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/article/view/622 การประเมินความพึงพอใจของลูกค้าในการให้บริการจัดส่งสินค้า : กรณีศึกษา บริษัท แอทอีสท์ ดีไซน์ จํากัด 2023-05-11T15:03:05+07:00 Sadapron Jampatong lusiferlove@hotmail.co.th Siriporn Tattawee siriporn_tattawee@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสมระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษากระบวนการการให้บริการจัดส่งสินค้า 2) เพื่อประเมินระดับความพึงพอใจของลูกค้าในการให้บริการจัดส่งสินค้า และ 3) เพื่อหาแนวทางการพัฒนาการให้บริการจัดส่งสินค้าของบริษัท แอทอีสท์ ดีไซน์ จำกัด ประชากร ได้แก่ ลูกค้าที่ซื้อสินค้าและใช้บริการจัดส่งสินค้ากับทางบริษัท แอทอีสท์ ดีไซน์ จำนวน 1641 คน กลุ่มตัวอย่างจำนวน 327 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test F-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 26-35 ปี มีสถานภาพสมรส จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพค้าขายรายย่อยหรืออาชีพอิสระ และรายได้ 25,001-35,000 บาทต่อเดือน มีความพึงพอใจในการให้บริการจัดส่งสินค้าโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยพึงพอใจด้านความเชื่อมั่นในการบริการจัดส่งสินค้าสูงสุด รองลงมาคือ ด้านการตอบสนองในการให้บริการ ด้านค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า ด้านระยะเวลาการจัดส่งสินค้า และด้านความเป็นรูปธรรมของการบริการจัดส่งสินค้า ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ที่ต่างกัน มีระดับความพึงพอใจในการให้บริการจัดส่งสินค้า แตกต่างกัน สำหรับปัจจัยส่วนบุคคลด้านเพศ และสถานภาพที่ต่างกัน มีระดับความพึงพอใจในการให้บริการจัดส่งสินค้าไม่แตกต่างกัน แนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการจัดส่ง ควรปรับนโยบายและกำหนดข้อปฏิบัติ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ และกลับมาใช้บริการจัดส่งสินค้าซ้ำ</p> 2024-03-15T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/article/view/863 การปรับปรุงกระบวนการผลิตและกำลังคนต่อการผลิตเพื่อลดต้นทุนด้านแรงงาน ในอุตสาหกรรมฟาร์มลูกไก่โรงงานปิดจังหวัดชลบุรี 2024-03-15T15:02:55+07:00 ณฐาพัชร์ วรพงศ์พัชร์ dr.thiwat@gmail.com <p> การศึกษาค้นคว้างานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตและกำหนดจำนวนพนักงานที่ใช้ต่อสายการผลิตให้เหมาะสม ซึ่งส่งผลให้สายการผลิตที่มีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น โดยมุ่งเน้นการลดความสูญเปล่าจาก การทำงานของพนักงานให้น้อยลง และกระบวนการ การออกลูกไก่ ซึ่งการศึกษาค้นคว้างานวิจัยนี้ได้นำหลักการ การศึกษางานและศึกษาเวลาในการทำงาน วิเคราะห์โดยใช้แผนภูมิการทำงานของพนักงานและเครื่องจักร และนำหลักการ ECRS คือทฤษฎีที่ช่วยลดความสูญเสียจากต้นทุนเกิดความเสียหาย หรือต้นทุนที่ไม่ได้สร้างผลตอบแทนใด ๆ ให้กับองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มผลผลิตและกำไรให้มากขึ้น เข้ามาวิเคราะห์และหาแนวทางในการปรับปรุงเพื่อลดความสูญเปล่าจากการทำงาน<br /> จากผลการศึกษาพบว่า กระบวนการที่สนใจในการแก้ปัญหาสามารถปรับปรุงและกำหนดมาตรฐานของจำนวนพนักงานได้โดยพิจารณาจากประชากร ได้แก่ พนักงานในฟาร์ม พนักงาน จำนวน 36 คน หัวหน้า จำนวน 4 คน รวมทั้งสิ้น 40 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 14 และก่อนปรับปรุงเวลาที่ใช้ในการออกลูกไก่ 1 ครั้ง ใช้เวลา 15 ชั่งโมง/ครั้ง หลังจากการปรับปรุงกระบวนการแล้วก็จะใช้เวลาลดลงเหลือ 10 ชั่วโมง/ครั้ง เวลาที่ลดลงได้ เท่ากับ 5 ชั่วโมง และยังส่งผลให้สามารถลดต้นทุนแรงงานลงจากประมาณ 190,512 บาทต่อเดือนเหลือ 126,000 บาทต่อเดือน ต้นทุนแรงงานคนที่ลดลงได้เท่ากับ 64,512 บาทต่อเดือน ถึงแม้ว่าการปรับปรุงมีการลงทุนซื้อเครื่องจักร แต่จากการลดต้นทุนแรงงาน ทำให้มีจุดคุ้มทุน 6-7 เดือน</p> 2024-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/article/view/621 ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวต่อการจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวของโบราณสถาน ในเขตเทศบาลเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน 2023-05-21T01:00:32+07:00 Nattarinee Siriphokkawin nattarinee1733@gmail.com Siriporn Tattawee siriporn_tattawee@hotmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของนักท่องเที่ยวกับความพึงพอใจต่อการจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวของโบราณสถาน และเพื่อศึกษาพฤติกรรมนักท่องเที่ยวกับความพึงพอใจต่อการจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวของโบราณสถาน เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ประชากร ได้แก่ นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวโบราณสถานในเขตเทศบาลเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน กลุ่มตัวอย่าง 300 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบบังเอิญ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน t-test F-test และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 40-49 ปี การศึกษาระดับอนุปริญญา มีอาชีพรับจ้างอิสระ มีรายได้ 10,001-15,000 บาทต่อเดือน ภูมิลำเนาไม่อยู่ในจังหวัดลำพูน พฤติกรรมส่วนใหญ่เดินทางเพื่อพักผ่อน โบราณสถานที่มาคือ วัดพระธาตุหริภุญชัย ชอบเดินทางวันเสาร์-อาทิตย์ ช่วงเช้า ในช่วงฤดูหนาว เดินทางมากับครอบครัวโดยรถยนต์ส่วนตัว มีผู้ร่วมเดินทาง 3-5 คน ได้รับข้อมูลจากเพื่อนหรือญาติ เข้าถึงข้อมูลจากเว็บไซต์/เฟสบุคการท่องเที่ยว มีค่าใช้จ่าย 1,001–5,000 บาทต่อครั้ง และมีความพึงพอใจต่อการจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวของโบราณสถานภาพรวมในระดับมาก โดยเฉพาะด้านสิ่งอำนวยความสะดวก สรุปผลได้ว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่ต่างกันในด้านการศึกษาและรายได้ต่อเดือน และพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ต่างกันในด้านแหล่งข้อมูลที่ได้รับและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อครั้ง มีระดับความพึงพอใจในการจัดการโลจิสติกส์การท่องเที่ยวแตกต่างกัน ซึ่งหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวควรปรับปรุงเส้นทางการเดินทาง ปรับปรุงทางเดินภายในโบราณสถาน เพิ่มบุคลากรให้บริการ กำหนดแผนการท่องเที่ยวให้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยว เพื่อให้เกิดความพึงพอใจและกลับมาเที่ยวซ้ำ</p> 2024-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง https://so10.tci-thaijo.org/index.php/PALSCR/article/view/648 การเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของโคเนื้อขุน กรณีศึกษาวิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อวิธีการผสมเทียม ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย 2023-05-21T00:03:52+07:00 Orasa Puankhamma woonjame093@gmail.com <p>การเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของโคเนื้อขุน กรณีศึกษา วิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อวิธีการผสมเทียม ตำบลป่าหุ่ง อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อศึกษากระบวนการเลี้ยงโคเนื้อขุนและการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านโลจิสติกส์&nbsp; เพื่อสร้างต้นแบบการประเมินประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของการเลี้ยงโคเนื้อขุน ในการเป็นต้นแบบให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อขุน และเพื่อเป็นแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพด้าน&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; โลจิสติกส์ของการเลี้ยงโคเนื้อขุน เก็บข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง โดยเก็บข้อมูลของกลุ่มสมาชิก วิสาหกิจชุมชนกลุ่มพัฒนาการเลี้ยงโคเนื้อวิธีการผสมเทียม ตำบลป่าหุ่ง &nbsp;&nbsp;อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย จำนวน 9 ราย ด้วยเครื่องมือการสร้างแบบสัมภาษณ์แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือข้อมูลทั่วไปของผู้ถูกสัมภาษณ์ และแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง ด้วยการสร้างแบบสัมภาษณ์ที่ประเมินจากตัวชี้วัด 27 ตัวชี้วัดของการวัดประสิทธิภาพแบบโลจิสติกส์ ผลการวิจัยพบว่าจากการลงเก็บข้อมูลและวิเคราะห์การวัดประสิทธิภาพทางโลจิสติกส์ของกลุ่มเลี้ยงโคเนื้อขุน มีกิจกรรมหลักทั้งหมด 5 กิจกรรม 11 ตัวขี้วัด ที่ครอบคลุมใน 3 มิติ&nbsp; และกิจกรรมเพิ่มเติมอีกหนึ่งกิจกรรม คือกิจกรรมการเลือกทำเลที่ตั้งคลังสินค้าและโรงงาน จากการทำการวิเคราะห์การวัดประสิทธิภาพแบบโลจิสติกส์ ของสมาชิกในกลุ่มทั้ง 9 ราย&nbsp; มีผลการประเมินที่แตกต่างกัน ทำให้ทราบถึงข้อบกพร่องและการดำเนินงานของสมาชิกแต่ละรายในแง่ของการดำเนินงานและกิจกรรมที่ต้องเพิ่มและปรับปรุงให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น</p> <p>&nbsp;</p> 2024-03-30T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการสมาคมวิชาชีพโลจิสติกส์และซัพพลายเชน รามคำแหง