วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE
<p>วารสารทัศนมิติทางการศึกษา (Journal of Perspectives in Education : JPE) จัดทำขึ้นโดยคณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่บทความวิจัย บทความวิชาการของนักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปด้านการศึกษา เพื่อสร้างเครือข่ายทางวิชาการด้านการศึกษาภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ตอบสนองพันธกิจหลักในการสร้างองค์ความรู้ และการเผยแพร่ผลงานวิชาการด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ และมุ่งสู่วิสัยทัศน์ด้าน Digital Transformation และความสามารถหลักของมหาวิทยาลัยในการบริหารจัดการด้วยรูปแบบ Digital University อันเป็นแนวทางนำไปสู่การพัฒนาด้านการศึกษา</p> <p> ผลงานที่ส่งมาตีพิมพ์ จะต้องเป็นบทความวิชาการและบทความวิจัยของนักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปด้านการศึกษา ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เป็นผลงานที่แก้ไข ปรับปรุง หรือพัฒนา สามารถนำไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ด้านการศึกษา โดยเป็นบทความที่ยังไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารอื่นใดมาก่อน และไม่ได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาลงวารสารใดๆ</p> <p><strong>ขอบเขตวารสาร</strong></p> <p> วารสารทัศนมิติทางการศึกษา (Journal of Perspectives in Education : JPE) เป็นวารสารเพื่อการเผยแพร่ผลงานทางด้านการศึกษาที่หลากหลายสาขาวิชา (cross-disciplinary) ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติ โดยมีขอบข่ายการรับตีพิมพ์ ดังนี้</p> <p><strong>สาขาที่รับตีพิมพ์</strong></p> <p><em>* การบริหารการศึกษา </em><em>* หลักสูตรและการสอน </em><em>* การจัดกระบวนการเรียนรู้ </em></p> <p><em>* วิจัยการศึกษา </em><em>* การวัดและประเมินผลการศึกษา </em><em>* สถิติและสารสนเทศการศึกษา </em></p> <p><em>* จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว </em><em>* สื่อทางการศึกษา </em><em>* เทคโนโลยีการศึกษา </em></p> <p><em>* การศึกษาตลอดชีวิต การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย </em></p> <p><em>* และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการศึกษาทุกระดับ</em></p> <p><strong>ประเภทของบทความ (ภาษาไทย)</strong><br /> <strong>1. บทความวิจัย</strong></p> <p> เป็นผลงานวิจัยของนักวิจัย นักวิชาการ และบุคคลทั่วไปด้านการศึกษา เป็นผลงานที่แก้ไข ปรับปรุง พัฒนา ตามขอบเขตของวารสาร สามารถนำไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ด้านการศึกษา บทความวิจัยไม่ควรเกิน 8,000 คำ ประกอบด้วย บทนำ, วัตถุประสงค์การวิจัย, วิธีดำเนินการวิจัย , ผลการวิจัย, อภิปรายผล, สรุปผลการวิจัย, ข้อเสนอแนะการวิจัย, หมายเลขจริยธรรมการวิจัย IRB (ถ้ามี), กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) และรายการอ้างอิง<br /> <strong>2. บทความวิชาการ</strong><br /> เป็นบทความวิชาการของนักวิชาการ และบุคคลทั่วไปด้านการศึกษา เป็นผลงานนำเสนอการวิเคราะห์หรือการสังเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มปัจจุบันและเสนอทิศทางในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการศึกษา ตามขอบเขตของวารสาร สามารถนำไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ด้านการศึกษา บทความวิชาการไม่ควรเกิน 9,000 คำ ประกอบด้วย บทนำ, เนื้อเรื่อง, บทสรุป, กิตติกรรมประกาศ (ถ้ามี) และรายการอ้างอิง</p> <p><strong>กระบวนการพิจารณาบทความ </strong></p> <p> บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ 3 ท่าน ที่หลากหลายสถาบัน แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review) </p> <p><strong>ค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์</strong></p> <p> วารสารทัศนมิติทางการศึกษา ปีที่ 1/2566 (ฉบับที่ 1-3), ปีที่ 2/2567 (ฉบับที่ 1-3) และ ปีที่ 3/2568 (ฉบับที่ 1-3) ไม่มีค่าธรรมเนียมการส่งบทความ ไม่มีค่าธรรมเนียมในกระบวนการจัดการบทความ ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์เผยแพร่ใด ๆ ทั้งสิ้น</p> <p><a href="https://portal.issn.org/resource/ISSN/2822-1346"><strong>ISSN 2822-1346 (Online)</strong></a></p> <p> </p>
คณะศึกษาศาสตร์และศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
th-TH
วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
2822-1346
-
การประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษานราธิวาส เขต 1
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/1233
<p> การค้นคว้าอิสระมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ตามตัวแปร เพศ ประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา และขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อประมวลผลปัญหาและข้อเสนอแนะในการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 1 กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 107 คน เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 45 ข้อ มีค่าความตรงเชิงเนื้อหา ระหว่าง .67 - 1.00 ค่าความเชื่อมั่น .978 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และทดสอบค่าเอฟ เมื่อพบความแตกต่างทำการทดสอบรายคู่โดยวิธีการของเชฟเฟ่</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้บริหารสถานศึกษามีการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีเพศและขนาดสถานศึกษาต่างกัน มีการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาทั้งภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่างกัน แต่ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาต่างกัน มีการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษาภาพรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) ด้านปัญหาพบว่า โรงเรียนมีการกำหนดเป้าหมายของแต่ละมาตรฐานการศึกษาไว้สูงเกินไปจึงส่งผลให้ไม่บรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้อีกทั้งงบประมาณที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานมีไม่เพียงพอต่อความต้องการ การดำเนินงานไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดตามแผน ขาดความต่อเนื่องในการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาและการประเมินผล ขาดความต่อเนื่องในการติดตามผลการดำเนินงาน ครูบุคลากรในโรงเรียนขาดความรู้ความเข้าใจในการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง ส่วนข้อเสนอแนะพบว่า สถานศึกษาควรกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานตามมาตรฐานอย่างชัดเจนและเหมาะสมเพื่อเป็นกรอบให้สถานศึกษาปฏิบัติได้อย่างถูกต้องบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ มีการวิเคราะห์การจัดตั้งงบประมาณที่ใช้สนับสนุนการดำเนินงานให้เพียงพอต่อความต้องการ มีการจัดทำปฏิทินการปฏิบัติงานที่สามารถดำเนินการได้อย่างครบถ้วนและควรนำผลการดำเนินการมาวิเคราะห์หาปัญหาและอุปสรรค ร่วมประชุมหารือเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาและนำข้อเสนอแนะไปพัฒนางานในครั้งต่อไป มีการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาและประเมินผลทุก ๆ ภาคเรียนเพื่อความต่อเนื่องของการดำเนินงาน โดยมีการติดตามการดำเนินงานเป็นระยะๆ ตลอดทั้งปีการศึกษา พร้อมทั้งมีการจัดอบรมการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองแก่ครูและบุคลากรในโรงเรียนทุกคน</p>
สมหญิง กอตอ
นิตยา เรืองแป้น
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
3 3
1
16
-
รูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียน สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/1178
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและรูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายใน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียน สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี การดำเนินการวิจัยมี 2 ขั้นตอน คือ ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาเพื่อให้ได้ประเด็นการสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับผู้ให้ข้อมูล จำนวน 11 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหา เพื่อสร้างกรอบแนวคิดและกำหนดเป็นร่างรูปแบบ ขั้นตอนที่ 2 ดำเนินการนำร่างรูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายใน ให้ผู้ทรงคุณวุฒิ 3 ท่าน เพื่อยืนยันความถูกต้องของร่างรูปแบบ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึกและนำรูปแบบที่ผ่านผู้ทรงคุณวุฒิ มาตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ แบบสอบถามได้ค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 มีค่าความเชื่อมั่น.993 และนำรูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายใน ใช้กับกลุ่มตัวอย่าง 160 คน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพและรูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียน สำนักงานการศึกษาเอกชนจังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 กระบวนการบริหารการประกันคุณภาพ ส่วนที่ 2 เงื่อนไขความสำเร็จ 2) รูปแบบการบริหารการประกันคุณภาพภายในของโรงเรียน สำนักงานการศึกษาเอกชน จังหวัดปัตตานี ประกอบด้วย 1. กระบวนการดำเนินการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ได้แก่ 1.1 การกำหนดมาตรฐานการศึกษา เป้าหมาย และค่าเป้าหมายของสถานศึกษา 1.2 การจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 1.3 การดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา 1.4 การประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา 1.5 การติดตามผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพมาตรฐานการศึกษา 1.6 การจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษา 1.7 การพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยกระบวนการบริหารตามวงจร PDCA และ 2. เงื่อนไขความสำเร็จ ได้แก่ 2.1 ผู้บริหารให้ความร่วมมือกับหน่วยงานต้นสังกัดในการนิเทศ ติดตามประเมินผลการพัฒนากระบวนการประกันคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะ 2.2 ผู้บริหารมีภาวะผู้นำ 2.3 ผู้บริหารสร้างความตระหนักให้กับครูและบุคลากรความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเองและเพื่อนร่วมงาน 2.4 ผู้บริหาร ส่งเสริมสนับสนุนด้านงบประมาณที่เพียงพอ 2.5 ผู้บริหารส่งเสริมบุคลากรให้มีความรู้ความเข้าใจในการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 2.6 ผู้บริหารสร้างการทำงานร่วมกันเป็นทีม 2.7 ผู้บริหารสร้างการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ตรวจสอบข้อมูลเชิงประจักษ์ พบว่า ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก</p>
ซากีนา อับดุลซอมะ
จรุณี เก้าเอี้ยน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
3 3
17
32
-
ภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหาร ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/1256
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน 3) เพื่อประมวลข้อเสนอแนะการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ครูศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส ปีการศึกษา 2566 จำนวนทั้งหมด 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 3 ตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และทดสอบค่าเอฟ เมื่อพบว่ามีความแตกต่างกันจึงทดสอบโดยวิธีของเชฟเฟ่</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส จำแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน พบว่าโดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงพหุวัฒนธรรมของผู้บริหารศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส ผู้บริหารควรเป็นผู้ที่ยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม เรียนรู้และทำความเข้าใจวัฒนธรรมที่ถูกต้องของตนเอง และผู้อื่น หลีกเลี่ยงการประพฤติผิดทางวัฒนธรรม ผู้บริหารควรสื่อสารด้วยมิตรไมตรี และใช้ภาษาที่เหมาะสม ผู้บริหารควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคนในองค์กร สร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็น ควรมีกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความสามัคคีและความสัมพันธ์ที่ดี สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ให้ชุมชุมมีส่วนร่วมทำกิจกรรมกับสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมและสนับสนุนในการทำงานร่วมกับภาคีเครือยข่าย และเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมกับสถานศึกษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ</p>
อัสรอฟ อาแว
นิตยา เรืองแป้น
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
3 3
33
47
-
ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ จังหวัดนราธิวาส
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/1180
<p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ จังหวัดนราธิวาส 2) เปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ จังหวัดนราธิวาส ตามตัวแปร เพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้จังหวัดนราธิวาส ปีการศึกษา 2566 จำนวน 162 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามแบ่งออกเป็น 3 ตอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และทดสอบค่าเอฟ เมื่อพบว่ามีความแตกต่างกันจึงทดสอบโดยวิธีของเชฟเฟ่</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ จังหวัดนราธิวาส พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ จังหวัดนราธิวาส จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า โดยภาพรวมและรายด้านแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ</p>
แนตี นุชภู่
จรุณี เก้าเอี้ยน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
3 3
48
59
-
พัฒนาเทคนิคการนำเสนอโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาเทคนิคการนำเสนอ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/1504
<p> การวิจัยแบบผสมผสาน โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจร่วมกับการวิจัยเชิงกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาเทคนิคการนำเสนอโดยใช้สื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาเทคนิคการนำเสนอของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 2) เพื่อประเมินผลการใช้สื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาเทคนิคการนำเสนอของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 3) เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนรายวิชาเทคนิคการนำเสนอ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาการตลาด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .98 แบบทดสอบก่อนการเรียนรู้ หลังการเรียนรู้ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน </p> <p> ผลการวิจัย พบว่า 1) การศึกษาระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาเทคนิคการนำเสนอของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการกการอาชีวศึกษา พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามเพศชาย จำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 5 และเพศหญิง จำนวน 19 คน คิดเป็นร้อยละ 95 2) ระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์ รายวิชาเทคนิคการนำเสนอ ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาโดยภาพรวม รายด้านอยู่ในระดับมาก ( = 4.30, SD= .488) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความทันสมัย อยู่ในระดับมาก ( = 4.44, SD= .420) รองลงมาความน่าสนใจ อยู่ในระดับมาก ( = 4.43, SD= .426) และความสามารถในการนำสื่อไปใช้ อยู่ในระดับมาก ( = 4.30, SD= .618) ตามลำดับ 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาเทคนิคการนำเสนอของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปีที่ 1 สาขาวิชาการตลาด วิทยาลัยเทคนิคพัทลุง สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา คะแนนก่อนการเรียนรู้ – หลังการเรียนรู้ในภาพรวม พบว่า นักศึกษา จำนวน 20 คน ทำแบบทดสอบก่อนการเรียนรู้ – หลังการเรียนรู้ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนรายวิชาเทคนิคการนำเสนอ โดยภาพรวมทำได้ ร้อยละ 77.75 และเมื่อดูผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนการเรียนรู้ พบว่า คะแนนทำได้ ร้อยละ 67 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนหลังการเรียนรู้ พบว่า คะแนนทำได้ ร้อยละ 88.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.50 แสดงให้เห็นว่า การนำสื่อสังคมออนไลน์ มาใช้ประกอบการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเทคนิคการนำเสนอ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนมีประสิทธิภาพงสูงขึ้น</p>
ณิชชา กองเงิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-01
2025-12-01
3 3
60
72