https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/issue/feed วารสารทัศนมิติทางการศึกษา 2024-07-28T00:00:00+07:00 ผศ.ดร. นวรัตน์ ไวชมภู jpe@hu.ac.th Open Journal Systems <p><strong> วารสารทัศนมิติทางการศึกษา (Journal of Perspectives in Education : JPE) ซึ่งเป็นวารสารเพื่อการเผยแพร่ผลงานทางด้านการศึกษาที่เป็นความสนใจของนักวิชาการที่หลากหลายสาขาวิชา (cross-disciplinary interests) ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติ เช่น การบริหารการศึกษา หลักสูตรและการสอน การจัดกระบวนการเรียนรู้ วิจัยการศึกษา การวัดและประเมินผลการศึกษา สถิติและสารสนเทศการศึกษา จิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว สื่อทางการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา การศึกษาตลอดชีวิต การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง</strong></p> <p><strong>ISSN 2822-1346 (Online)</strong> </p> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/810 การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบจังหวัดปัตตานี 2024-03-14T09:24:16+07:00 นัชมูดิน สาแม 736496009@yru.ac.th นิตยา เรืองแป้น nittaya.r@yru.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบ จังหวัดปัตตานี 2) เพื่อเปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบ จังหวัดปัตตานี จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และขนาดของโรงเรียน 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะและความคิดเห็นต่อการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบ จังหวัดปัตตานี กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริหารสถานศึกษาในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบ จังหวัดปัตตานี กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 195 คน แล้วทำการแบ่งตามสัดส่วนของจำนวนประชากรตามขนาดของโรงเรียน โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และทดสอบค่าเอฟ ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบจังหวัดปัตตานี ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบจังหวัดปัตตานี จำแนกตามเพศ ตำแหน่ง และขนาดโรงเรียน พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน และ 3) ข้อเสนอแนะการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารโรงเรียนในสมาคมโรงเรียนเอกชนในระบบ จังหวัดปัตตานี ผู้บริหารสถานศึกษา ควรมีส่วนร่วมความคิดเห็นรายงานผลการดำเนินงาน มีส่วนร่วมในการเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่งที่ดีที่สุดเพื่อแก้ปัญหา และควรมีส่วนร่วมในการใช้วิธีการต่าง ๆ จูงใจให้คนอื่นยอมรับความคิดเห็นโดยใช้วิธีการตามความคิดของตนเอง อีกทั้งควรมีส่วนร่วมในการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับแนวทางการบริหารการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง</p> 2024-08-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/925 ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต แขนงวิชาจิตวิทยาการศึกษา และการแนะแนว (หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 2023-12-14T15:30:04+07:00 อริยา คูหา ariya.k@psu.ac.th ฟูซียะห์ มะมัน 6320117225@email.psu.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต แขนงวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 2) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต แขนงวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 จำแนกตามเพศ ชั้นปี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ประชากรเป้าหมาย คือ นักศึกษาแขนงวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 74 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต แขนงวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 ที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.97 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที ทดสอบค่าเอฟ และการทดสอบรายคู่ใช้วิธีการของ LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) ความพึงพอใจของนักศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อหลักสูตรศึกษาศาสตรบัณฑิต แขนงวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2562 แตกต่างกันตามเพศ ชั้นปี และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> <p> </p> 2024-08-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/907 มโนทัศน์ทางเลือกเรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสมเด็จพระปิยมหาราชรมณียเขต 2024-01-05T09:00:21+07:00 นิธิศ ธงภักดิ์ nithisteacher57@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงสำรวจ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบสำรวจมโนทัศน์เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2) สำรวจมโนทัศน์เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี และ 3) รวบรวมคำตอบที่ผิดและมโนทัศน์ทางเลือก เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 48 คน โดยใช้แบบทดสอบสำรวจมโนทัศน์เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ที่มีลักษณะเป็นข้อสอบแบบเขียนคำตอบ การวาดภาพแบบจำลอง การแสดงวิธีการคำนวณ และแบบตอบสั้น ประกอบด้วยมโนทัศน์ 3 มโนทัศน์ ได้แก่ ความหมายและการคำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี แนวคิดเกี่ยวกับอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบทดสอบสำรวจมโนทัศน์เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี มีค่าดัชนีความสอดคล้อง) ของข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ตั้งแต่ 0.60 – 1.00 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าข้อสอบที่สร้างขึ้นทุกข้อมีความตรงตามเนื้อหา 2) ผลการสำรวจมโนทัศน์เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีความเข้าใจมโนทัศน์ คิดเป็นร้อยละ 41.67 ซึ่งใกล้เคียงกับนักเรียนที่มีมโนทัศน์ทางเลือก ร้อยละ 40.28 รองลงมาคือนักเรียนมีความเข้าใจมโนทัศน์ถูกต้องบางส่วน ร้อยละ 11.11 และนักเรียนร้อยละ 6.94 ไม่มีมโนทัศน์ เรื่องอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยเนื้อหาที่นักเรียนมีความเข้าใจมโนทัศน์มากที่สุด คือ ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี (ความเข้มข้น พื้นที่ผิว อุณหภูมิและตัวเร่งปฏิกิริยา คิดเป็นร้อยละ 47.92 สำหรับเนื้อหาที่นักเรียนมีมโนทัศน์ทางเลือกมากที่สุดคือ ความหมายและการคำนวณอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี ร้อยละ 43.75</p> 2024-08-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/915 ความสัมพันธระหว่างความพึงพอใจกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 2024-03-18T20:58:32+07:00 พิมพ์ปวีณ์ สุวรรณโณ Phimpawee.s@yru.ac.th พิชญ์สินี ไสยสิทธิ์ Phimpawee.s@yru.ac.th <p>การวิจัยเชิงสำรวจครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความพึงพอใจกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต 2) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต และ 3) ศึกษาปัญหาอุปสรรคของโครงการ เก็บข้อมูลจากประชากรทั้งหมด คือ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต จำนวน 738 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถาม มีค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .981 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) นักศึกษามีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอนนอกเวลาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามหลักสูตรกลางของโครงการพัฒนาศักยภาพนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต พบว่าภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกหลักสูตร ยกเว้นหลักสูตรกำกับลูกเสือ BTC/ATC และหลักสูตรติวภาษาอังกฤษตามมาตรฐาน TOELC ของนักศึกษาชั้นปีที่ 3 อยู่ในระดับปานกลาง 2) ความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจกับผลลัพธ์การเรียนรู้ พบว่า มีความสัมพันธ์ทางบวกขนาดปานกลาง ยกเว้นหลักสูตรกำกับลูกเสือ BTC/ATC และหลักสูตรการสอนโรงเรียนวิถีพุทธ มีความสัมพันธ์ทางบวกขนาดต่ำ และ 3) ปัญหาอุปสรรคที่พบ ได้แก่ การสแกนชื่อเข้าหอพัก เครื่องกรองน้ำและที่จอดรถจักรยานยนต์ไม่เพียงพอ สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียร ความเหนื่อยล้าจากการเรียน เวลาสำหรับพักผ่อนและความสุขในการใช้ชีวิตในหอพักของนักศึกษา</p> 2024-08-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JPE/article/view/906 การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดปัตตานี 2024-03-14T10:03:14+07:00 นิรอฮายา เจษฎาภา niya_ches@hotmail.com นิตยา เรืองแป้น nittaya.r@yru.ac.th <p>การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบระดับการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตาม เพศ ตำแหน่ง ประสบการณ์ในทำงาน และขนาดสถานศึกษา 3) เพื่อประมวลข้อเสนอแนะในการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดปัตตานี กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซี่และมอร์แกน ได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 202 คน และสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และทดสอบค่าเอฟ ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) ผลการเปรียบเทียบการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา จำแนกตามเพศ โดยภาพรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนการจำแนกตามตำแหน่ง ประสบการณ์ในการทำงาน และขนาดสถานศึกษา พบว่า โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3) ข้อเสนอแนะของการบริหารความขัดแย้งของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาที่มีการแสดงพฤติกรรมมุ่งจะเอาชนะโดยการตัดสินใจของตนเอง ควรชี้แจงถึงปัญหาให้ผู้อื่นรับรู้เพื่อที่จะได้ร่วมมือช่วยเหลือกันในการแก้ไขปัญหา และสามารถให้ผู้ร่วมงานทำตามความคิดเห็นของตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ</p> 2024-08-01T00:00:00+07:00 Copyright (c) 2024 วารสารทัศนมิติทางการศึกษา