https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/issue/feed วารสารศาสตร์แห่งพุทธ 2025-07-18T16:06:31+07:00 พระมหาอินทร์วงค์ อิสฺสรภาณี, ดร. inthawong_iss@hotmail.com Open Journal Systems <h2><strong>วารสารศาสตร์แห่งพุทธ</strong></h2> <p>เป็นวารสารวิชาการ 6 เดือน <em>ปีละ 2 ฉบับ<br /></em></p> <h2><strong>วัตถุประสงค์</strong></h2> <p>1. เพื่อส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และเพื่อเผยแผรบทความวิจัยและบทความวิชาการนักวิจัย นักวิชาการ คณาจารย์ และนิสิตในระดับบัณฑิตศึกษา ในมิติทางด้านพระพุทธศาสนากับปรัชญา พุทธศาสนากับคัมภีร์โบราณ พระพุทธศาสนากับศิลปะวัฒนธรรมและวรรณกรรมท้องถิ่น และพุทธบูรณาการกับศาสตร์สาขาอื่น</p> <p>2. เพื่อเปิดรับการตีพิมพ์บทความวิจัย บทความวิชาการ และบทความวิจารณ์หนังสือ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ</p> <p>3.บทความที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสาร ได้ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาและไม่มีส่วนได้เสียกับผู้นิพนธ์ ขั้นต่ำ 2 ท่าน ในลักษณะปกปิดรายชื่อ (Double blind peer-reviewed)</p> <p>บทความที่ส่งมาขอรับการตีพิมพ์ในวารสารศาสตร์แห่งพุทธ จะต้องไม่เคยตีพิมพ์หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อการตีพิมพ์ในวารสารอื่น ผู้นิพนธ์จะต้องปฏิบัติธรรมตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดการเสนอบทความของวารสารศาสตร์แห่งพุทธอย่างเคร่งครัด รวมทั้งระบบอ้างอิงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่วารสารกำหนด</p> <p>ทัศนะ ความคิดเห็นหรือข้อสรุปที่ปรากฎในบทความ วารสารศาสตร์แห่งพุทธถือเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์บทความนั้น ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของการบรรณาธิการวารสารศาสตร์แห่งพุทธแต่อย่างใด</p> <h2><strong>กำหนดออกเผยแพร่</strong></h2> <p>ตั้งแต่ ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (กรกฏาคม-ธันวาคม 2567) เป็นต้นไป โดยจะเผยแพร่บทความแบบออนไลน์ ในเว็ปไซด์ของระบบ Thaijo <a href="https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/" target="_blank" rel="noopener" data-saferedirecturl="https://www.google.com/url?q=https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/&amp;source=gmail&amp;ust=1733320204582000&amp;usg=AOvVaw1kp49aNfeNRuG3AEDG4sjU">https://so10.tci-thaijo.org/<wbr />index.php/JNBS/</a></p> <p>ปีละ 2 ฉบับ <br />ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน <br />ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม </p> <h2><strong>ค่าธรรมเนียมการเผยแพร่<br /></strong></h2> <p>วารสารจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หลังจากผู้ทรงพิจารณาเสร็จแล้ว<strong>จำนวน 3,500 บาท</strong> ต่อ 1 บทความ โดยผู้เขียนจะต้องตรวจสอบความสมบูรณ์ของบทความตามคำแนะนำสำหรับผู้เขียน หากไม่ปฏิบัติตามกติกา กองบรรณาธิการวารสารขอสงวนสิทธิ์ในการปฏิเสธการตีพิมพ์ <strong>และไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมดังต่อไปนี้</strong></p> <p>1. หากบทความมีความซ้ำซ้อนมากกว่า 20%<br />2. ผู้เขียนไม่ปฏิบัติตามรูปแบบของวารสาร<br />3. บทความไม่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิ หรือ<br />4. ไม่แก้ไขบทความตามข้อเสนอแนะตามระยะเวลาที่กำหนด (1 เดือน หลังการแจ้งของบรรณาธิการ)<br /><strong>5. ผู้เขียนสามารถชำระค่าธรรมเนียมผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี 017 - 0 - 50904 - 4 ชื่อบัญชี หจก. เตมสุข เซอร์วิส</strong> เมื่อชำระแล้วให้ส่งหลักฐานไปที่ <a href="mailto:temsuk1993@gmail.com">temsuk1993@gmail.com</a></p> <h2><strong>นโยบายด้านลิขสิทธิ์</strong></h2> <p>ข้อความหรือความคิดเห็นต่าง ๆ ในบทความ ถือเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนบทความ ไม่ถือเป็นความรับผิดชอบของห้างหุ้นส่วนจำกัด เตมสุข เซอร์วิส</p> <h2><strong>นโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล</strong></h2> <p>ชื่อและอีเมล์ที่กรอกไว้ในวารสารจะใช้ในกระบวนการของวารสารนี้เท่านั้น</p> <h2><strong>หน่วยงานผู้รับผิดชอบ</strong></h2> <p>ห้างหุ้นส่วนจำกัด เตมสุข เซอร์วิส</p> https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2600 การประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรมในการเสริมสร้างจริยธรรมและคุณธรรม ในวงราชการ 2025-06-22T11:11:09+07:00 นฤพันธ์ สมเจริญ nareupan.som@mcu.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอชุดความรู้เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้หลักอิทธิบาทธรรมในการเสริมสร้างจริยธรรมและคุณธรรมในวงราชการ ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลพบว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญาและความเมตตาที่มุ่งเน้นการพัฒนาจิตใจและการดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรม หลักธรรมทางพุทธศาสนาจึงสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารภาครัฐ เพื่อเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะหลักอิทธิบาท 4 ซึ่งประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารงานภาครัฐเพื่อส่งเสริมประสิทธิภาพ ความรับผิดชอบ และความโปร่งใส โดยเน้นการทำงานด้วยความรักในหน้าที่ ความเพียรใฝ่รู้ ความตั้งใจจริง และการใช้ปัญญาใคร่ครวญ ส่งผลให้การบริหารเป็นไปอย่างมีคุณธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน โดยเริ่มจากการปลูกฝังฉันทะให้ข้าราชการรักในงานและมุ่งประโยชน์ส่วนรวม ตามด้วยวิริยะที่ผลักดันให้เกิดความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เสริมด้วยจิตตะที่เน้นความตั้งใจ ใส่ใจในหน้าที่ และจบด้วยวิมังสาที่ส่งเสริมการใช้ปัญญาใคร่ครวญ ปรับปรุงงานอย่างมีธรรมาภิบาล หลักธรรมทั้งสี่ยังช่วยพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรให้มีคุณภาพ โปร่งใส และเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน</p> 2025-07-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2607 การพัฒนาวัดเชิงนิเวศด้วยหลักพุทธบูรณาการ 2025-05-22T23:04:30+07:00 ปุณณวิญญ์ หลวงพระบาง punnwiyyhlwngphrabang@gmail.com ไพรินทร์ ณ วันนา punnwiyyhlwngphrabang@gmail.com พระครูพิศิษฏ์ปทุมวัฒน์ (วงศกร) punnwiyyhlwngphrabang@gmail.com <p>บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวคิด “การพัฒนาวัดเชิงนิเวศด้วยหลักพุทธบูรณาการ” อันเป็นแนวทางที่ผสมผสานระหว่างองค์ความรู้ด้านนิเวศวิทยากับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน เช่น ภาวะโลกร้อน มลภาวะ และการใช้ทรัพยากรอย่างขาดความยั่งยืน วัดในฐานะศูนย์กลางของชุมชนไทยมีศักยภาพในการเป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสันติ โดยยึดหลัก “สัปปายะ 7” ซึ่งประกอบด้วย อาวาสสัปปายะ (ที่อยู่อาศัยเหมาะแก่การภาวนา), โคจรสัปปายะ (เส้นทางและแหล่งอาหารที่ไม่ยั่วยุกิเลส), ภัสสสัปปายะ (การสนทนาในธรรม), ปุคคลสัปปายะ (การอยู่ร่วมกับผู้มีศีลธรรม), โภชนสัปปายะ (อาหารที่เกื้อกูลต่อการปฏิบัติธรรม), อุตุสัปปายะ (สภาพอากาศเหมาะสม), และอิริยาบถสัปปายะ (การเคลื่อนไหวที่สมดุลกับจริตของตน) ทั้งนี้ การพัฒนาวัดเชิงนิเวศมิใช่เพียงการจัดการเชิงกายภาพ แต่ยังครอบคลุมถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ผ่านการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องความพอเพียง การไม่เบียดเบียน และการใช้ชีวิตอย่างมีสติ</p> 2025-07-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2639 บทบาทของวัดสำหรับเป็นสถานที่พึ่งพิงทางจิตใจสำหรับผู้สูงวัย 2025-06-13T17:29:17+07:00 หัสกรณ์ ศรียอด 651770051@crru.ac.th <p>บทความวิชาการนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์บทบาทของวัดในฐานะที่พึ่งพิงทางจิตใจสำหรับผู้สูงวัยในสังคมไทย วัดได้กลายเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณที่สำคัญ โดยให้บริการหลากหลายรูปแบบแก่ผู้สูงวัย ตั้งแต่การให้คำปรึกษาทางจิตใจ การสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ไปจนถึงการเป็นที่พักพิงในยามที่ประสบปัญหา จากการศึกษาเอกสาร พบว่าวัดมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสุขภาพจิตของผู้สูงวัยผ่าน 5 มิติหลัก ได้แก่ การสร้างความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิต การสร้างเครือข่ายสังคม การให้การปรึกษาและคำแนะนำ การช่วยเหลือด้านวัตถุและการดูแลสุขภาพ และการเตรียมความพร้อมสำหรับการจากไป การศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าวัดยังคงเป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อการดูแลผู้สูงวัยในสังคมไทยแม้ในยุคที่สังคมเปลี่ยนแปลงไป</p> 2025-07-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2623 การบูรณาการหลักจักร 4 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต: วิเคราะห์เชิงแนวคิดและข้อเสนอเชิงปฏิบัติ 2025-06-13T17:16:33+07:00 พระอนุสรณ์ กิตฺติวณฺโณ anusorn.rua@mcu.ac.th พระครูสุวรรณปัญญาพิสุทธิ์ anusorn.rua@mcu.ac.th พระปลัดธวัชชัย ขตฺติยเมธี anusorn.rua@mcu.ac.th <p>บทความนี้มุ่งวิเคราะห์แนวคิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต (Quality of Life: QoL) ร่วมกับ “หลักจักร 4” ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ (1) ปฏิรูปเทสวาสะ การอยู่ในถิ่นที่ดี (2) สัปปุริสูปัสสยะ การคบสัตบุรุษ (3) อัตตสัมมาปณิธิ การตั้งตนไว้ชอบ และ (4) ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ก่อน บทความสังเคราะห์กรอบแนวคิดด้าน QoL ขององค์การอนามัยโลกและยูเนสโก เทียบเคียงกับหลักจักร 4 เพื่อเสนอ โมเดลบูรณาการจักร 4–QoL สำหรับใช้เป็นแนวทางเชิงนโยบายและการปฏิบัติในระดับบุคคล ครอบครัว และชุมชน โดยยกกรณี “อาสาปันสุข” ตำบลอุโมงค์ จังหวัดลำพูน เป็นตัวอย่างการประยุกต์ใช้ ผลการวิเคราะห์ชี้ว่า หลักจักร 4 ช่วยเพิ่มมิติทางจิตวิญญาณ จริยธรรม และทุนทางสังคมให้กับดัชนี QoL สากล ทำให้มาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตมีความสมบูรณ์และยั่งยืนมากขึ้น</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2658 ศีลวัตรอันประเสริฐ: ลักษณะเด่นของจริยวัตรครูบาเจ้าศรีวิชัย ในสังคมล้านนา 2025-06-22T11:05:35+07:00 พระเอกชัย เตชวโร (กันทะทอน) phaaaeksee@gmail.com ไพรินทร์ ณ วันนา phaaaeksee@gmail.com พระครูโกวิทอรรถวาที phaaaeksee@gmail.com <p>บทความนี้ ผู้เขียนได้นำข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากงานวิจัยของตัวเองมานำเสนอ โดยได้วิเคราะห์ข้อมูลเพิ่ม วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์ลักษณะเด่นของศีลวัตรครูบาเจ้าศรีวิชัย พระเถระผู้มีบทบาทสำคัญในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในล้านนา โดยเน้นการวิเคราะห์ด้านกิจวัตร จริยาวัตร และวิธีวัตร ตลอดจนผลกระทบทางจริยธรรม สังคม และพระศาสนา โดยอาศัยข้อมูลจากเอกสารประวัติศาสตร์ การสัมภาษณ์ผู้รู้ และหลักธรรมในพระพุทธศาสนาเถรวาทเป็นฐาน ผลการศึกษาพบว่า ศีลวัตรของครูบาฯ มีลักษณะเด่น 4 ประการ คือ (1) ความสมถะ เรียบง่าย และไม่ยึดติดวัตถุ (2) การเข้าถึงและทำงานร่วมกับชุมชนผ่านสร้างวัด และบูรณะศาสนสถาน <br />(3) การบำเพ็ญตนด้วยทานบารมีในระดับต่าง ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทน และ (4) ความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ทั้งด้านศีล สมาธิ และปัญญา อันเป็นแบบอย่างของพระผู้ปฏิบัติดีในพระพุทธศาสนา<br />บทความนี้เสนอว่า ศีลวัตรของครูบาเจ้าศรีวิชัย มิใช่เพียงกรอบวินัยของสงฆ์ แต่คือพลังศรัทธาที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการทั้งทางศาสนา จริยธรรม และสังคมในบริบทล้านนาอย่างยั่งยืน</p> 2025-08-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2659 เทคนิคการพูดเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำความดีตามหลักพระพุทธศาสนา 2025-06-22T11:08:09+07:00 ชญาน์นันท์ อัศวธรรมานนท์ ctapuling@gmail.com อธิเทพ ผาทา ctapuling@gmail.com พระอธิการสมนึก จรโณ ctapuling@gmail.com <p>การพูดเป็นพฤติกรรมพื้นฐานของมนุษย์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ทั้งในด้านการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และการปลุกเร้าแรงบันดาลใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการพูดนั้นมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกิดการกระทำในทางที่ดี ถือได้ว่าเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ต้องอาศัยทักษะ ความเข้าใจในจิตวิทยามนุษย์ ตลอดจนองค์ความรู้ทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง พระพุทธศาสนาได้ให้ความสำคัญต่อวาจาอันเป็นกุศล โดยเน้นย้ำถึง “วจีสุจริต” และการใช้ถ้อยคำเพื่อประโยชน์ในการเกื้อกูล<br />บทความวิชาการฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิธีการพูดที่สามารถกระตุ้นจิตสำนึกด้านคุณธรรมจริยธรรมและโน้มน้าวให้เกิดการทำความดี โดยใช้หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางสำคัญ เทคนิคการพูดเชิงพุทธนั้นเน้นการพูดด้วยเมตตา มีความจริงใจ อ่อนโยน มีเหตุผล และมุ่งหวังประโยชน์ต่อผู้ฟัง ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งผลต่อระดับปัจเจกบุคคล แต่ยังสามารถขยายผลไปสู่ระดับสังคมโดยรวมอีกด้วย</p> 2025-08-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2665 ไตรสิกขากับการเรียนรู้ในยุค AI 2025-07-18T16:06:31+07:00 ธนชาดา วงศ์กิติ chonumboo@gmail.com <p>บทความวิชาการนี้ศึกษาการประยุกต์ใช้หลักไตรสิกขา ซึ่งประกอบด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทอย่างกว้างขวาง การวิจัยเน้นการวิเคราะห์บทบาทของไตรสิกขาในการสร้างสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ที่มีคุณธรรม มีสมาธิ และส่งเสริมปัญญาอย่างสมดุล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีอย่างรับผิดชอบและมีวิจารณญาณ บทความชี้ให้เห็นว่า หลักศีลช่วยเสริมสร้างจริยธรรมดิจิทัลและความรับผิดชอบในการใช้ AI ขณะที่สมาธิช่วยพัฒนาความสามารถในการจดจ่อและทำงานเชิงลึกในโลกดิจิทัล ส่วนปัญญาเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้ผู้เรียนวิเคราะห์ วิพากษ์ และตัดสินใจอย่างมีเหตุผลภายใต้บริบทของข้อมูลมหาศาลที่ได้รับจาก AI นอกจากนี้ บทความเน้นบทบาทสำคัญของครูในฐานะผู้เป็นแบบอย่างและผู้อำนวยการเรียนรู้ที่มีคุณธรรมในการนำไตรสิกขาไปบูรณาการกับเทคโนโลยี เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและยั่งยืน ผลการศึกษาเสนอแนะแนวทางในการพัฒนาทักษะครูและการออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมไตรสิกขาอย่างครบถ้วนเพื่อรับมือกับความท้าทายในยุค AI บทความนี้จึงเป็นกรอบแนวคิดสำคัญสำหรับการพัฒนาการศึกษาที่มีความสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและคุณธรรมในยุคสมัยใหม่ และในยุค AI การพัฒนาครูควรเน้นความรู้ด้านเทคโนโลยี การใช้ AI อย่างมีจริยธรรม และการออกแบบการเรียนรู้ที่ผสมไตรสิกขา ส่วนการออกแบบกิจกรรมควรส่งเสริมศีล สมาธิ และปัญญา ผ่านกติกา จัดเวลาเจริญสติ และฝึกคิดวิเคราะห์ ทำให้ผู้เรียนมีความรู้ควบคู่คุณธรรม ใช้เทคโนโลยีอย่างมีสติและวิจารณญาณ</p> 2025-08-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/JNBS/article/view/2621 พระพุทธศาสนากับกฎแห่งกรรม 2025-06-13T17:07:24+07:00 สรวิชญ์ วงษ์สอาด sorawit062231@gmail.com กมลพร คิ้มแหน Kamonporn5922@gmail.com <p>บทความนี้ มีวัตถุประสงค์จะศึกษาเรื่อง “พระพุทธศาสนากับกฎแห่งกรรม” พบว่า กฎแห่งกรรมที่ก่อให้เกิดขึ้นกับทุกคน ทุกชั้นวรรณะ กฎแห่งกรรมนี้ยุติธรรมเสมอ เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ โดยการจำแนกสัตว์ให้เลวและดีต่างกันที่เกิดจากกรรมทางกาย กรรมทางวจี และกรรมทางมโน เมือกรรมครบทั้ง 3 ทวาร ที่เกิดขึ้นกับทุกคนเพราะกรรมที่ต่างกัน ผู้ทำดีได้ดี ผู้ทำชั่วได้ชั่ว บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ประพฤติกายทุจริตจะไปเกิดในอบายภูมิ เพราะกรรมยังส่งผลถึงสุขภาพของคน คือ บางคนมีอายุสั้น เพราะชอบฆ่าสัตว์ ขาดความกรุณาบางคนมีโภคทรัพย์น้อย เพราะไม่ทำทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ บางคนมีตะระกูลต่ำ เพราะเป็นคนกระด้าง เย่อหยิ่ง บางคนโง่ เพราะไม่ชอบแสวงหาความรู้ ทำโดยการประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ ในชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมด้วยการสร้างจิตสำนึกต่อตนเอง ต่อสังคม และต่อศาสนา ด้วยการตัดรากเหง้าตัณหาสู่ความเป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาได้</p> 2025-08-28T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารศาสตร์แห่งพุทธ