วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo <p><strong>วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี</strong></p> <p> เป็นช่องทางการเผยแพร่ผลงานวิจัยและผลงานวิชาการทางสังคมศาสตร์ของคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษา ผู้สนใจทั่วไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางแสดงความคิดเห็น เชิงวิชาการของคณาจารย์นักวิชาการทางการศึกษาทั้งในและนอกสถาบัน และเพื่อเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของคณาจารย์ นักวิชาการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี ตลอดจนบทวิเคราะห์ที่เสนอทางออกให้กับปัญหาที่อยู่ในความสนใจของสังคม วารสารได้จัดตีพิมพ์แบบออนไลน์ </p> <p> </p> Faculty of Humanities and Social Sciences Thepsatri Rajabhat University th-TH วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 3088-1862 แนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดารสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/1895 <p> การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูง ในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก และ 2. เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก มีการดำเนินการวิจัย 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครูโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก จำนวน 100 คน แบ่งออกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 12 คน และครูผู้สอน จำนวน 88 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประเมินค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร จำนวน 4 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการศึกษาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก ในภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการพัฒนาหลักสูตร และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านการพัฒนาสื่อนวัตกรรม และเทคโนโลยี 2. ผลการศึกษาแนวทางการบริหารงานวิชาของโรงเรียนขนาดเล็กบนพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดาร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก พบว่า สถานศึกษาควรจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบท สภาพแวดล้อม วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชุมชนและจัดพื้นที่ให้ครู นักเรียน ผู้ปกครองและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้สะท้อนความต้องการในการพัฒนาหลักสูตรให้เกิดความสมบูรณ์และนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและสร้างความตระหนักให้ครูจัดการเรียนการสอนในรูปแบบ Active Learning เพื่อสร้างการเรียนรู้ที่ดีโดยให้ครูมีการวัดและประเมินผลด้วยวิธีการที่หลากหลายและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินครูควรปรับให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่โรงเรียนขนาดเล็กและผู้บริหารสถานศึกษามีการออกนิเทศกำกับติดตามเยี่ยมชมชั้นเรียนของครูอย่างสม่ำเสมอ</p> อภิรัตน์ สะอาดม่วง สถิรพร เชาวน์ชัย สำราญ มีแจ้ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 1 22 การจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้เกมบันไดงู เรื่อง วันสำคัญและเทศกาลสำคัญ ทางพระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปิยะบุตร์ https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/1918 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้เกมบันไดงู 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน และ 3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจหลังการใช้เทคนิคเกมบันไดงู กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนปิยะบุตร์ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 20 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนจำนวน 10 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัย จำนวน 30 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test แบบ Dependent</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียน พบว่า ได้แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน มีผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.49, S.D.= 0.23) 2. นักเรียนที่ผ่านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมเกมบันไดงู หลังเรียน (𝑥̅ = 21.00, S.D. = 0.80) สูงกว่า ก่อนเรียน (𝑥̅ = 11.00, S.D. = 0.60) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 แสดงว่า นักเรียนที่เรียนผ่านการจัดกิจกรรมโดยใช้เทคนิคเกมบันไดงูมีคะแนนหลังเรียนสูงขึ้น และ 3. ผลการศึกษาความพึงพอใจหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมบันไดงู เรื่อง วันสำคัญและเทศกาลสำคัญทางพระพุทธศาสนา พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.40, S.D. = 0.77) </p> ปนัดดา พาณิชพันธุ์ ปิยธิดา พื้นผา นพร สุขะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 23 42 ผลของการจัดการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านหมี่วิทยา https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/2043 <p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้เชิงรุก และ 3. ศึกษาความพึงพอใจหลังการจัด การเรียนรู้เชิงรุก การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/4 ภาคเรียนที่ 1/2567 โรงเรียนบ้านหมี่วิทยา อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี จำนวน 41 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 แผน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบปรนัย จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 15 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t แบบ Dependent Samples</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ได้แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 15 แผน ซึ่งมีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.70, S.D.= 0.38) 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนกับหลังเรียน โดยใช้การเรียนรู้เชิงรุก พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5 และ 3. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนรู้เชิงรุก พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (𝑥̅ = 4.34, S.D. = 0.52)</p> ธีรพงศ์ เผ่าน้อย ภูริภัทร หมอยาดี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 43 62 ผลการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค 4MAT เรื่องวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมในภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดเชียงราก https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/1946 <p> การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค 4MAT 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจากใช้การจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค 4MAT 3) เพื่อสอบถามความพึงพอใจหลังการใช้เทคนิค 4MAT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนวัดเชียงราก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 19 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยของการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 13 แผน แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 15 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test แบบ Dependent </p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ พบว่า ผู้วิจัยพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค 4MAT จำนวน 13 แผน มีผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ = 4.59, S.D.= 0.37) 2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (𝑥̅ = 16.50, S.D. = 0.67) สูงกว่าก่อนเรียน (𝑥̅ = 12.50, S.D. = 0.49) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า นักเรียนที่เรียนผ่านการเรียนรู้ด้วยเทคนิค 4MAT มีคะแนนหลังเรียนสูงขึ้น และ 3. ผลการสอบถามความพึงพอใจหลังการจัด การเรียนรู้ด้วยเทคนิค 4MAT พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (𝑥̅ <strong> = </strong>4.41, S.D. = 0.61)</p> สุนทร อ่อนฤทธิ์ ธัสธาวิน คำตัน จิดาภา แท่งทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 33 80 การพัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/2345 <p> การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. พัฒนาและหาคุณภาพของหลักสูตรเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู 2. ศึกษาประสิทธิผลของการใช้หลักสูตรฯ ได้แก่ 2.1) ความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษของนักศึกษาวิชาชีพครู 2.2) ความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครูที่มีต่อการใช้หลักสูตร เป็นการวิจัยแบบผสมผสานโดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา กลุ่มเป้าหมายได้แก่ นักศึกษาวิชาชีพครู จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1. แบบประเมินคุณภาพหลักสูตรและคู่มือการใช้หลักสูตร 2. แบบประเมินความรู้ของนักศึกษาวิชาชีพครู คุณภาพระดับมากที่สุด (Mean = 4.70, S.D. = 0.38) และ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาวิชาชีพครู คุณภาพระดับมากที่สุด (Mean = 4.75, S.D. = 0.31) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยมีดังนี้ 1. หลักสูตรเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษสำหรับนักศึกษาวิชาชีพครูที่พัฒนาขึ้นมี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการและเหตุผล คือ นักศึกษาวิชาชีพครูต้องมีความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษจึงจะสามารถให้ความช่วยเหลือนักเรียนได้ 2) วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษแก่นักศึกษาวิชาชีพครู 3) โครงสร้างของหลักสูตร จำนวน 5 หน่วยการเรียนรู้ 4) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาคทฤษฎี 6 ชั่วโมง 5) สื่อและแหล่งเรียนรู้ ได้แก่ โปรแกรมนำเสนอภาพนิ่ง และเอกสารประกอบการอบรม และ 6) การวัดและประเมินผลด้านความรู้ การประเมินคุณภาพของหลักสูตรอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.65, S.D. = 0.40) พร้อมคู่มือประกอบการใช้หลักสูตรที่มีการประเมินคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.70, S.D. = 0.38) 2. ประสิทธิผลการใช้หลักสูตร พบว่า 1) นักศึกษาวิชาชีพครูมีความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษอยู่ในระดับสูง (Mean = 4.27, S.D. = 1.25) 2) นักศึกษาวิชาชีพครูมีความพึงพอใจต่อการใช้หลักสูตรในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (Mean = 4.74, S.D. = 0.52) และข้อเสนอแนะในการเพิ่มเวลาการเรียนรู้ตามหลักสูตรมากขึ้น หน่วยงานผลิตครูวิชาชีพหรือโรงเรียนที่มีนักเรียนพิการในสังกัดควรใช้หลักสูตรและกระบวนการพัฒนาหลักสูตรจากการวิจัยครั้งนี้ประกอบการสร้างหลักสูตรมาตรฐาน เพื่อพัฒนาผู้เรียนและส่งเสริมการทำงานร่วมกันของนักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพและครูพี่เลี้ยง เพื่อประโยชน์ในการให้ความช่วยเหลือทางการศึกษาพิเศษในสถานศึกษาต่อไป</p> ทรงกลด จารุนนทรากุล ชนิตตา โชติช่วง นพวรรณ เนตรธานนท์ ศิริวรรณ วณิชวัฒนวรชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 81 100 การศึกษาตัวบทกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงและกาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณคดีวิจักษ์: เพื่อการจัดการเรียนการสอน https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/1957 <p> บทความวิชาการนี้ มีเป้าหมายเพื่อศึกษาตัวบทของกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงและกาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเพื่อการจัดการเรียนการสอน ผลการศึกษาด้านภูมิหลังอันเป็นข้อมูลสำหรับจัดการเรียนการสอน พบว่า เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงแต่งกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง และกาพย์เห่เรือในช่วงเดียวกัน คือ แต่งประมาณ พ.ศ. 2294 - 2301 เมื่อครั้งตามเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรี โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารคน้อย ทั้งนี้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรทรงแต่งกาพย์เห่เรือขึ้นเป็นลำดับแรก จากนั้นจึงทรงแต่งกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดงเป็นลำดับถัดมา ผลการศึกษาด้านเนื้อหา อันเป็นข้อมูลสำหรับจัดการเรียนการสอน พบว่า กาพย์เห่เรือปรากฏเรือประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เรือพระที่นั่งทรงเรือพระที่นั่งรอง เรือรูปสัตว์ เรือคู่ชัก และแสดงให้เห็นอารมณ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรว่า ทรงมีความภูมิใจในวัฒนธรรม มีความสุขและทุกข์อันเนื่องมาจากความรัก ทรงภาคภูมิใจในตัวนาง และทรงคิดถึงนางตลอดเวลา ส่วนกาพย์ห่อโคลงประพาสธารทองแดง ได้แสดงให้เห็นตัวตนของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรว่า ทรงรัก ธรรมชาติ ทรงมีความสุขที่ได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ทรงมีพระอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ทรงมีความเชื่อมั่นในตนเอง และทรงเป็นผู้มีใจกว้าง โดยทรงอนุญาตให้ผู้อ่านแก้ไขงานของพระองค์ได้หากพบข้อผิดพลาด</p> ณัฐวุฒิ คล้ายสุวรรณ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 101 118 แนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาที่เสริมสร้างความเป็นพลเมืองตื่นรู้ในสังคมประชาธิปไตย https://so10.tci-thaijo.org/index.php/HSEdutrujo/article/view/2032 <p> พลเมืองตื่นรู้ (Active Citizen) เป็นแนวคิดสำคัญในสังคมประชาธิปไตย หมายถึง พลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนโดยยึดหลักการของการปฏิบัติตามกฎหมาย ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม พลเมืองตื่นรู้ไม่เพียงแค่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ยังมีความมุ่งมั่นในการร่วมมือที่จะแก้ไขปัญหาด้วยความจริงจัง เพื่อเสริมสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริง คุณลักษณะสำคัญของพลเมืองตื่นรู้ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ ความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skills) ทัศนคติ (Attitudes) ค่านิยม (Values) และพฤติกรรมที่แสดงออก (Active Engagement) การส่งเสริมความเป็นพลเมืองตื่นรู้ควรมุ่งเน้นการพัฒนาความรู้และทักษะในการปกครอง มีส่วนร่วมทางการเมือง การเรียนรู้ที่ส่งเสริมความเป็นพลเมืองตื่นรู้ในสังคมประชาธิปไตย ควรเน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกิจกรรมและปฏิบัติจริง โดยไม่ชี้นำความคิดเห็นหรือฝักใฝ่ฝ่ายใด ทางการเมือง การเรียนรู้ที่มีการวางแผนและปฏิบัติจริงช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทบาทของตนเองในฐานะพลเมืองที่มีความรับผิดชอบ และกระตุ้นให้มีส่วนร่วมทางการเมืองและการส่งเสริมพลเมืองตื่นรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย และมีส่วนร่วมจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน และพัฒนาสังคมที่มีความเสมอภาคและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง</p> อภิชา กรีมาบุตร เพียรพิทย์ โรจนปุณยา ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี 2025-06-30 2025-06-30 1 1 119 134